รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (TU) แจ้งว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ที่ถือหุ้น 100% เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท เบฟเทค จำกัด จัดตั้งกิจการร่วมค้า “บริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด” ซึ่งเป็นบริษัทจัดตั้งขึ้นใหม่ภายใต้กฎหมายไทย ร่วมลงทุนและร่วมมือในการพัฒนาสินค้า ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ หรือเครื่องหมายการค้าของบริษัทฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด ทั้งนี้ บริษัท เบฟเทค จำกัด ถือหุ้นสัดส่วน 50.9999%, บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ถือหุ้น 49% และบริษัท ไทยดริ้งค์ จำกัด ถือหุ้น 0.001%
บล.เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า การจัดตั้งบริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด เพื่อจำหน่ายสินค้าby product จากอาหารทะเลของ TU ในอนาคต อาทิ น้ำมันทูน่าและซุปปลาสกัด เป็นต้น โดย TU มีจุดเด่นด้านวัตถุดิบและการผลิตสินค้าจากอาหารทะเล ขณะที่ กลุ่มไทยเบฟ มีจุดเด่นด้านช่องทางจำหน่ายสินค้าและการสร้างแบรนด์ ทั้งนี้ แม้ฝ่ายวิจัยประเมินว่าบริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด จะยังไม่สร้างส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเข้ามาให้ TU ในระยะสั้น แต่ก็ถือเป็นการมุ่งหน้าเข้าสู่ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มี margin สูง และมีโอกาสสร้างกำไรได้เพิ่มขึ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-2564 ขึ้นเฉลี่ย 10-15% จากปัจจุบัน หลังประกาศงบการเงินงวดไตรมาส 3 ปี 2563 สะท้อนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2563 ที่ดีกว่าคาด ทั้งนี้ภายใต้ประมาณการปัจจุบัน คาดกำไรสุทธิปี 2563 จะเพิ่มขึ้นถึง 32.2% และปี 2564 เพิ่มขึ้น 10.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจทูน่ากระป๋องและอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งภายใต้ประมาณการปัจจุบัน กำหนด Fair Value ปี 2563 เท่ากับ 17 บาท อิงวิธี DCF (WACC 7.34%) ราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ที่น่าสนใจ มีค่า PER ที่ 13 เท่า และสามารถคาดหวัง div Yield ได้กว่า 4% p.a. จึงแนะนำซื้อ และเตรียมปรับไปใช้ Fair value ปี 2564 หลัง TU ประกาศงบการเงินงวดไตรมาส 3 จะทำให้FV ปี 2564 สูงกว่า Fair value ปัจจุบัน