นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยรับศักราชใหม่ 2564 ว่า ในช่วงเดือนมกราคมดัชนียังคงเคลื่อนไหวผันผวนตามปัจจัยกดดันของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ และในประเทศไทยก็มีการระบาดรอบใหม่เกิดพร้อมกันใน 54 จังหวัด ทำให้มีการแบ่งโซนพื้นที่และเข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดแม้จะไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ก็ตาม
นอกจากนี้ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนที่อาจปะทุอีกครั้งจากนโยบายถอดหุ้นบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์ค และทิศทางค่าเงินบาทในปี 2564 มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ โดยในสัปดาห์นี้คาดการณ์กรอบการแกว่งตัวของดัชนีไว้ที่ระดับ 1,450-1,500 จุดส่วนดัชนีทั้งปี 2564 คาดว่ามีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,470-1,650 จุด เป็นการอิง PE ที่ระดับ 16-18 เท่าและมี EPS Growth 15% รวมทั้งคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ที่ 4%
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่น่าสนใจและจับตา คือ การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของนายโจ ไบเดนซึ่งคาดหวังว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา รวมทั้งการทยอยเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ และไทยเองก็จะเริ่มผลิตวัคซีนที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยมีกำลังผลิตปีละ 200 ล้านโดส โดยจะทยอยส่งมอบล็อตแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งหาวัคซีนเพิ่มซึ่งตั้งเป้าว่า 50% ของประชากรหรือ 70 ล้านโดส แบ่งเป็นผลิตในไทย 26 ล้านโดสส่วนที่เหลือจะเป็นการนำเข้า คาดว่าล็อตแรก 2 แสนโดสจะเข้ามาเดือนกุมภาพันธ์นี้ และแนวโน้มราคาน้ำมันครึ่งปีแรกมีความผันผวน และมีความเสี่ยงที่จะขาลงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่และหลายประเทศยังไม่เปิด
ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีแบ่งเป็น 3 กลุ่มเด่น โดยกลุ่มแรกหุ้น Defensive และได้ผลดีจากนโยบายไบเดน เช่น BGRIM และ GPSC กลุ่มที่ 2 หุ้น Laggard play เช่น ADVANC, INTUCH และ BBL และกลุ่มที่ 3 หุ้น Value play เช่น STANLY, IRC, TSC, JUBILE, XO, BIZ, SKN, LALIN และ HARN