ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ ตลาดหุ้นไทย ปีที่แล้ว ปรับตัวลง 8% และเคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14% สำหรับปีนี้ แม้จะผ่านปีของความหนักหนาจากปัจจัยลบรอบด้านไปแล้ว แต่เริ่มลงทุนปี 2564 นักลงทุนยังคงพิจารณาและเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนดี และที่สำคัญต้องเสี่ยงน้อย ปลอดภัยมากที่สุด
ช่วงต้นปีอาจจะยังมีทั้งข่าวดีและร้ายแตกต่างกันในแต่ละวัน แต่นักลงทุนเริ่มปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ดี และไม่ตื่นตระหนกตาม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เกิดการเรียนรู้ อีกทั้งเลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่มีทิศทางหรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยเฉพาะหุ้นที่อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นที่เป็นวัฏจักรของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นที่จับตาของบรรดานักลงทุน แต่หุ้นที่ยังสามารถปรับตัวได้ดีอย่าง “หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า” ก็ยังคงรักษาระดับได้เป็นอย่างดี จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)พบว่า ราคา หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าตั้งแต่ต้นปี ถึงวันที่ 6 มกราคม 2564 ปรับเพิ่มขึ้นทุกบริษัท เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดไปทั่วโลกเกิดความกังวลว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจ อาจจะชะลอตัวอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่จะลงทุนในหุ้นปลอดภัยอย่างกลุ่มโรงไฟฟ้าเป็นอันดับแรก
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า หุ้น กลุ่มโรงไฟฟ้า ยังเป็นหุ้นที่ปลอดภัย แต่ไม่น่าสนใจเท่าเดิม เพราะภาพใหญ่ธีมการลงทุนปัจจุบันจะอิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรงไฟฟ้า มีความโดดเด่นมาก เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน มีการปรับประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจ(จีดีพี) อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าจะไม่ลดลงไปอีก ทำให้หุ้นที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโดดเด่นขึ้นตาม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปี 2563-ต้นปี 2564 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าขยับขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากความกังวลของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่กลับมาระบาดอีกครั้ง จะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, การซื้อเก็งกำไรของนักลงทุนที่คาดการณ์ว่า ปกติผลการดำเนินของกลุ่มจะเป็นไฮซีซั่นในช่วงไตรมาส 1 และ2, ปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัทและในไตรมาส 4 หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังปรับขึ้นเพียง 20% ซึ่งน้อยกว่าตลาด และน้อยกว่ากลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 45-50%
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ยังมีปัจจัยลบ คือ การประเมินมูลค่า และการจัดสรรสินทรัพย์ โดยการประเมินมูลค่าด้วยการคิดลดกระแสเงินสด จะอิงกับความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งหากพันธบัตรรัฐบาลขยับขึ้น ความน่าสนใจจะลดลง ส่วนการจัดสรรสินทรัพย์ มีความปลอดภัยแน่นอน โดยเฉพาะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีและมีความไม่แน่นอน แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ทำให้มีการขายลดน้ำหนักในกลุ่มโรงไฟฟ้า เพื่อเข้าไปซื้อในกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์แทน
“ที่ผ่านมาหุ้นบางตัวปรับขึ้นได้จากการเกาะกระแส อย่างเช่น กระแส EV ที่ GPSC และ EA ได้ประโยชน์ จากการที่มีโรงงานและจำหน่ายแบตเตอรี่ ทำให้หุ้นปรับขึ้นตอบรับได้ดี ส่วนหลังจากนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังคงลงทุนได้ แต่ความน่าสนใจจะน้อยลง ซึ่งหากจะลงทุนให้เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง โดยในหุ้นขนาดใหญ่ เช่น GULFและ BGRIM ส่วนหุ้นพลังงานทดแทนที่ยังเติบโตสูง เช่น SUPER, ETC และ ACE”
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า กลุ่มโรงไฟฟ้ามีปัจจัยบวกหนุนในปี 2564 เด่น จากการฟื้นตัวของปริมาณใช้ไฟทั้งภาคครัวเรือน ธุรกิจ และอุตสาหกรรม, กำลังการผลิตใหม่เพิ่มขึ้น +9.7% ตามโครงการระหว่างพัฒนาที่มี PPA secure แล้ว, แนวโน้มต้นทุนก๊าซฯ ที่ลดลงต่อเนื่อง -7 ถึง -8%, การปิดซ่อมโรงไฟฟ้าในกลุ่มลดลง, สภาวะแล้งลดลง และคาดแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจลดลง ไม่ได้กดดันมากในสภาวะที่มี growth story หนุนกลุ่มอยู่
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า คาดการณ์ว่า กำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทยในปี 2564 จะฟื้นตัวแรง 34% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ คาดว่า จะติดลบ 38% ซึ่งสาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นแรงมาจากกำไรในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของกำไรตลาดโดยรวมจะเติบโต 79% และ 25% ตามลำดับ ขณะที่ปี 2565 คาดกำไรโดยรวมจะเติบโตอีก 16% อานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้เต็มที่หลังมีวัคซีน โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
หน้า 14 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,643 วันที่ 10 - 13 มกราคม พ.ศ. 2564
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“GPSC” ตั้งบริษัทย่อยซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าโซลาร์ไต้หวัน
บีซีพีจีทุ่มกว่า 871 ล้านบาท ลุยซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม 20 เมกะวัตต์ ใน 3 จังหวัด
บอร์ด EPCO ไฟเขียวขายหุ้นโรงไฟฟ้า"ฟูเยี้ยน"ให้BGC ค่ากว่า 1.25 พันล้านบ.