หลังประกาศ ล็อกดาวน์ กรุงเทพฯและปริมณฑล 6 จังหวัด พร้อมยกระดับมาตรการควบคุมโรครวม 10 จังหวัดที่มีการระบาดรุนแรงของโควิด-19 มีผลอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ทำให้มีการพูดถึงมาตรการช่วยเหลือทางสินเชื่อจากทางการที่เคยดำเนินการเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีมาตรการสินเชื่อสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ภายใต้ มาตรการสินเชื่อฟื้นฟู วงเงิน 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านมา 2 เดือนหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดให้สถาบันการเงินยื่นคำขอสินเชื่อฟื้นฟู เมื่อ วันที่ 26 เมษายน 2564 พบว่า ยอดอนุมัติล่าสุด วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 จำนวน 66,898 ล้านบาท มีจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือ 21,929 ราย วงเงินอนุมัติเฉลี่ย 3.1 ล้านบาทต่อราย
ส่วนโครงการ พักทรัพย์พักหนี้ มีลูกหนี้เข้ามา 12 ราย วงเงินอนุมัติ 941 ล้านบาท
ขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ระบุว่า อยู่ระหว่างหารือสมาชิกเพื่อจะเสนอกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง แต่ต้องหารือธปท.เพื่อขอเพิ่มวงเงินค้ำประกันจาก บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็น 70% จากปัจจุบันอยู่ที่ 40% เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการะบาดของโควิด-19 สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟูมากขึ้น รวมถึงการเสนอขอเรื่องยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันช่วงปีที่ 1-3
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงิน ธปท.เปิดเผยว่า ยอดอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูเกือบ 7 หมื่นล้านบาท และกระจายตัวได้ดีจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1 แสนล้านบาทภายใน 6 เดือน ส่วนมาตรการพักทรัพย์พักหนี้ ซึ่งเป็นกลไกใหม่ ยอดล่าสุด 12 รายกว่า 900 ล้านบาท
โดยสถาบันการเงินนำส่งรายชื่อเข้ามา และอยู่ระหว่างรอการบังคับใช้กฎหมาย เรื่องยกเว้นค่าโอน และค่าธรรมเนียมต่างๆ เบื้องต้นจะเห็นตัวเลขหมื่นล้านบาท
“ยอมรับว่า การระบาดของโควิดรอบสามค่อนข้างรุนแรง ฉะนั้นทีมงานธปท.อยู่ระหว่างคุยกับสถาบันการเงินและลูกค้าเพื่อพิจารณาคอขวด อาจจะมีอัตราการชดเชยความเสียหาย โดยจะขยับสูงขึ้นได้บ้างสำหรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง หรือเรื่องค่าธรรมเนียมต่าง หลักการเน้นช่วยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากขึ้นและไปถึงคนที่ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ”นายสักกะภพ กล่าว
แหล่งข่าวจากสถาบันการเงินกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ประเด็นของโครงการพักทรัพย์พักหนี้ขณะนี้ คือ ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ไม่อยากพักทรัพย์ พักหนี้ เพราะลูกหนี้ไม่มั่นใจรายได้ในอนาคต ซึ่งจะมีผลต่อความสามารถในการซื้อคืนทรัพย์
ส่วนธนาคารเจ้าหนี้เน้นปรับโครงสร้างหนี้มากกว่าพักทรัพย์พักหนี้ เพราะธนาคารเจ้าหนี้ต้องได้รับอนุมัติจากธปท.ก่อน จึงจะได้รับสินเชื่อฟื้นฟูตามวงเงินที่เจรจากับลูกหนี้สำเร็จต่อราย โดยธนาคารเจ้าหนี้ต้องออกตั๋วแลกเงิน (P/N) ให้ทางธปท. แม้จะได้รับวงเงินและดอกเบี้ยต่ำ 0.01% แต่ธนาคารเจ้าหนี้จะเสียโอกาส รายรับจากค่างวด หรืออัตราดอกเบี้ยเดิม และหักค่าเช่าระหว่างพักทรัพย์พักหนี้ในการซื้อคืนทรัพย์
“พักทรัพย์พักหนี้ คนใช้น้อย เพราะสถาบันการเงินเองมีความเสี่ยงสูง ซึ่งเมื่อโอนทรัพย์ชำระหนี้มาแล้ว เจ้าหนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ ในเวลา 3-5 ปี กรณีที่ลูกหนี้มาเช่าทรัพย์ไป ธนาคารจะมีรายได้เพียง 1% ต่อปี จากที่เคยได้รับดอกเบี้ยจากลูกหนี้ 5-6% ต่อปี ซึ่งเท่ากับขาดทุนทันทีตั้งแต่ปีแรก"แหล่งข่าวกล่าว
หรือหากครบกำหนด 3 ปีหรือ 5 ปีทางลูกหนี้ไม่กลับมาซื้อทรัพย์คืน ธนาคารก็ต้องรับผลขาดทุนดังกล่าว อีกทั้งกรณีที่ลูกหนี้ไม่เช่าทรัพย์ไปบริหารจัดการต่อ ช่วง 3-5 ปี ธนาคารก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ทั้งนี้ หากโอนราคาตลาดจะดีสำหรับลูกหนี้ แต่ธนาคารเจ้าหนี้ ไม่ต้องการทำ เพราะขาดทุน ขณะเดียวกันก็มีบางรายไม่อยากเข้าพักทรัพย์ เพราะไม่สามารถคาดการณ์กระแสเงินสดรับในอนาคต กลัวเจ้าหนี้์ยึดถ้าไม่มีเงินซื้อคืน อีกประเภทคือ เจ้าหนี้ต้องการช่วยลูกหนี้ ส่ง
รายชื่อไป แต่ธปท.ไม่อนุมัติ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,696 วันที่ 15 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2564