นายธีรพล โชติชนาภิบาล ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด(มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “THAILAND SURVIVAL POST COVIT” “ไทยพร้อม...เปิดประเทศ ฟื้นท่องเที่ยว” ที่จัดโดยเนชั่น ทีวี โดยยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้มองว่าจะเกิดขึ้นเพียง “ชั่วคราว” แต่ก็ถือว่า “หนักหนาจริงๆ” และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดยาวนานขนาดนี้ โดยนกแอร์ได้ปิดบางธุรกิจลงชั่วคราว เช่นที่สนามบินดอนเมือง และย้ายมาทำการบินที่สนามบินอู่ตะเภาแทน มีการปรับลดจำนวนเที่ยวบินลงให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมมองว่าสิ่งสำคัญ คือ ภาครัฐ ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม 70% - 80% ของจำนวนประชากรทั้งหมด เพื่อให้ธุรกิจและประเทศเปิดได้ เช่นเดียวกับต่างประเทศที่ขณะนี้เริ่มกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น และเริ่มมีการทยอยเปิดประเทศแล้ว
พร้อมย้ำว่า ตั้งแต่เกิดการระบาด “นกแอร์” ไม่เคยหยุดทำการบิน แต่ขณะนี้ได้เปลี่ยนฐานการบินไปอยู่ที่อู่ตะเภา เพื่อเชื่อมการเดินทางทางอากาศภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ เพราะมองว่า การเดินทางทางอากาศยังสำคัญ ยังจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายบุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และอวัยวะของร่างกายสำหรับผ่าตัดซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องเวลา นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้เดินทางขณะนี้เดินทางเพราะจำเป็น ไม่ใช่การเดินทางเพื่อท่องเที่ยว ดังนั้น ความแน่นอนของเที่ยวบินจึงสำคัญ
ขณะทิศทางการบริหารธุรกิจสายการบินหลังจากนี้ ผู้บริหาร “นกแอร์” กล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจสายการบินจะมุ่งเน้นในเรื่องของจำนวน มีการลดราคาเพื่อให้ได้จำนวนผู้โดยสารมากที่สุด ซึ่งนกแอร์มองว่า ต่อจากนี้จะไม่ใช่วิธีการบริหารของนกแอร์ แต่นกแอร์จะมุ่งเน้นด้านบริการ ด้านคุณภาพ และเวลาที่แม่นยำ ในราคาที่เหมาะสม ส่วนราคา 999 บาท หรือ 888 บาท นั้น จะยังมีให้เห็นในช่วงทำโปรโมชั่นเป็นครั้งคราว