นายพนม ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอเชีย กรีน เอนเนอจี จำกัด (มหาชน) หรือ AGE ผู้จัดจำหน่ายถ่านหินบิทูมินัส(ถ่านหินสะอาด) และผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์แบบครบวงจร (ขนส่งทางน้ำ-ทางบก-ท่าเรือ-คลังสินค้า)เปิดเผยว่า บริษัทได้รับคัดเลือกจาก FTSE SET Index คำนวณในกลุ่ม Micro Cap ซึ่งเป็นดัชนีหลักทรัพย์ระดับนานาชาติ สำหรับครึ่งปีหลัง 2564 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2564
“การได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงศักยภาพความน่าดึงดูดให้กับหุ้น AGE และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจาก FTSE Rebalance เป็นหน่วยงานที่ได้รับความน่าเชื่อถือระดับโลก”นายพนมกล่าว
สำหรับเกณฑ์ที่ FTSE Rebalance นำมาใช้ในการคำนวณ และคัดเลือกหลักทรัพย์ที่จะถูกคำนวณรวมในดัชนี FTSE SET นั้น จะต้องผ่านเกณฑ์สภาพคล่องของจำนวนหุ้นที่มีการซื้อขายรายวันในแต่ละเดือนไม่ต่ำกว่า 0.05% ของจำนวนหุ้นที่ซื้อขายได้ ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10 เดือน จาก 12 เดือน ก่อนวันที่พิจารณาทบทวนรายชื่อดัชนีในแต่ละรอบ โดยต้องผ่านเกณฑ์การกระจายหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยมากกว่า 15% ขึ้นไป
เกณฑ์ดังกล่าวบ่งชี้ว่า AGE เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และเป็นที่สนใจทั้งกลุ่มนักลงทุนรายย่อย สถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลต่อยอดภายหลังที่บริษัทฯ ได้มีการย้ายการซื้อขายจากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปยังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงที่ผ่านมา
“บริษัทฯรู้สึกยินดี ที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับใช้ในการ ประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าลงทุนในหุ้นของ AGE ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวม 5,807.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิที่ 121.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 136.4% รวมทั้ง AGE มีการจ่ายปันผล ตามนโยบายการจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักเงินสำรองต่างๆอย่างสม่ำเสมอ”นายพนมกล่าว
นอกจากนี้ AGE ยังประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมุ่งเน้นธุรกิจโลจิสติกส์ ภายหลังการเข้าไปบริหารจัดการท่าเรือ เพิ่มอีก 3 ท่า ส่งผลให้มีท่าเรือที่รองรับการให้บริการขนส่งทางน้ำรวมทั้งหมด 6 ท่า บริเวณอำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะช่วยหนุนให้ AGE สามารถรองรับปริมาณการขนส่งผ่านท่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 7 ล้านตันต่อปี
ขณะเดียวกันยังลงทุนขยายกองรถบรรทุกจากปัจจุบัน 68 คันเป็นกว่า 100 คัน ในปี 2564 และมีรถบรรทุกเป็นพันธมิตรผู้รับจ้างงานช่วง(Sub-contractor) อีก 400-500 คัน รวมถึงขยายกองเรือโดยการเช่าและการหากองเรือพันธมิตร Sub-contractor เพื่อเพิ่มปริมาณบรรทุกสินค้าเป็น 200,000 ตัน จากกองเรือปัจจุบัน36 ลำ ปริมาณการบรรทุกสินค้ารวมกว่า 100,000 ตัน ซึ่งแผนธุรกิจดังกล่าวจะส่งผลให้ธุรกิจด้านโลจิสติกส์ สามารถให้บริการที่ครบทุกมิติแบบครบวงจร
ทั้งี้บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมในปีนี้ไว้ที่ระดับ 11,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวจะมาจากธุรกิจถ่านหิน 90 % จากการตั้งเป้ายอดขายที่ 5.5 ล้านตัน แบ่งเป็นยอดจำหน่ายในประเทศ 4.5 ล้านตัน และต่างประเทศ 1 ล้านตัน และรายได้จากธุรกิจโลจิสติกส์ฯ 10 % หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท