INTUCH ตั้ง “สารัชถ์ รัตนาวะดี” นั่งรองประธานบอร์ด

นายเอนก พนาอภิชน ประธนาคารเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) บริษัท อนุมัติการแต่งตั้ง นายกานต์ ตระกูลฮุน ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ และนายสารัชถ์ รัตนาวะดี เป็นรองประธานคณะกรรมการบริษัท มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.64 

รายชื่อกรรมการใหม่ ประกอบด้วย

นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานคณะกรรมการและกรรมการอิสระ

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี รองประธานคณะกรรมการ

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล กรรมการอิสระ

นายคณิต วัลยะเพ็ชร์  กรรมการอิสระ

น.ส.ยุพาพิน วังวิวัฒน์    กรรมการ

นางสาวบังอร สุทธิพัฒนกิจ กรรมการ

นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการ

น.ส.จีน โล เงี้ยบ จง  กรรมการ

นายอาเธอร์ หลาน เต้า อี้ กรรมการ

นายเอนก พนาอภิชน  กรรมการ

 

ขณะที่คณะกรรมการตรวจสอบและความเสี่ยง จำนวน 3 ท่านคือ

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล  ประธาน

นายคณิต วัลยะเพ็ชร์    กรรมการ

นาง วรางค์ ไชยวรรณ   กรรมการ

สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาส 2/2564 INTUCH  มีกำไรสุทธิ  2,813 ล้านบาท ลดลง 6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้ 6 เดือนแรกปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,474 ล้านบาท ลดลง 4.3% จากครึ่งแกของปี 2563 เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเไอเอสและไทยคมลดลง

 

ส่วนแบ่งกำไรจากเอไอเอสลดลงเพียง 1%  ซึ่งเอไอเอสยังคงเน้นการลงทุนในโครงข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการให้ดีขึ้น โดยมีการใช้งบลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่ประมาณ 11,000 ล้านบาท เพื่อสร้างความเป็นผู้นำในการให้บริการ 5G ที่มีลูกค้าในปัจจุบันกว่า 1 ล้านราย

 

ขณะที่ไทยคม มีส่วนแบ่งผลกำไรลดลงถึง 90%  เนื่องจากการรับรู้รายการพิเศษจากเงินชดเชยในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 ซึ่งหากไม่รวมรายการดังกล่าว ส่วนแบ่งผลกำไรปกติยังคงปรับลดลง เนื่องจากลูกค้าบางรายได้ลดการใช้งานดาวเทียม ทั้งดาวเทียมแบบทั่วไปและดาวเทียมบรอดแบนด์  ขณะที่ไทยคมได้ลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีผลขาดทุนอยู่

 

ส่วนผลการดำเนินงานเฉพาะบริษัท ในงวดครึ่งแกของปี 2564 อินทัชมีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยและบริษัทร่วม 5,564 ล้านบาท ลดลง 4.8%  จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  เนื่องจากการลดลงของผลกำไรของไทยคมเป็นหลัก

 

สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าตอบแทนผู้บริหารอยู่ที่ 162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากงวดครึ่งแรกของปี 2563 จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายสำหรับการจ้างที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานยังคงอยู่ภายใต้ประมาณการณ์ที่ 300-400 ล้านบาท สำหรับปี 2564