นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร กสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 28,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,922 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนหรือ 73.47% หลักๆมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) ลดลง 28.28% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีตั้งสำรองฯ สูงถึง 42,879 ล้านบาท ภายใต้ความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่หดตัวจากสถานการณ์โควิด-19
รวมถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องติดตามดูแลคุณภาพหนี้อย่างใกล้ชิด แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยงวด 9 เดือนปี 2564 จะได้รับผลกระทบมากขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่และมาตรการควบคุมการระบาดที่มีความเข้มงวดในหลายพื้นที่ ธนาคารและบริษัทย่อยจึงตั้งสำรองฯ งวด 9 เดือนปีนี้รวม 30,752 ล้านบาท
สำหรับกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้งวด 9 เดือนปี 2564 มีจำนวน 70,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,003 ล้านบาทจากงวดเดียวกันของปีก่อนหรือ 6.04% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 6,171 ล้านบาทหรือ 7.49% สอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ แม้ธนาคารได้ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดภาระทางการเงินของลูกค้า โดยเงินให้สินเชื่อเติบโตอยู่ที่ 8.87% ส่วนใหญ่เกิดจากการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าที่มีศักยภาพ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติ
“ธนาคารติดตามดูแลคุณภาพของลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง และยังมีลูกค้าบางส่วนที่อยู่ภายใต้มาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารต้องบริหารจัดการดอกเบี้ยค้างรับที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง เกิดจากการบริหารต้นทุนทางการเงินให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.21%”นางสาวขัตติยากล่าว
ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 1,326 ล้านบาท หรือ 3.95% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด และรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่ลดลง แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 1,864 ล้านบาท หรือ 7.55% หลักๆ จากค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน และค่านายหน้ารับจากการซื้อขายหลักทรัพย์
สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 842 ล้านบาท หรือ 1.69% เกิดจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน และค่าใช้จ่ายจากโครงการที่ธนาคารช่วยบรรเทาภาระของลูกค้าในช่วงที่มีมาตรการควบคุมการระบาด โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 41.85%
ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 8,631 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 263 ล้านบาท หรือ 2.96% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 1,024 ล้านบาท หรือ 3.45% หลักๆ จากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ โดย NIM อยู่ที่ 3.23% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 1,936 ล้านบาท หรือ 17.38% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงิน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด
ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ลดลงเล็กน้อย 104 ล้านบาท หรือ 0.61% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ 42.47% และธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองฯ เพิ่มขึ้น 489 ล้านบาท หรือ 4.53% จากไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ธนาคารและบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวม 4,029,831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 371,033 ล้านบาท หรือ 10.14% จากสิ้นปี 2563 ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และการเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนสุทธิ ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (% NPL gross) อยู่ที่ 3.85% จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่3.93% โดยธนาคารติดตามดูแลคุณภาพเงินให้สินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด และอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ 156.96% จากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 149.19% แ
นางสาวขัตติยากล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2564 ได้รับผลกระทบมากขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 และมาตรการควบคุมการระบาดที่มีความเข้มงวดในหลายพื้นที่(ล็อกดาวน์) ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศบางส่วนเผชิญภาวะหยุดชะงัก ขณะที่การส่งออกสินค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยอาจมีแนวโน้มทยอยฟื้นกลับมาได้บางส่วนในไตรมาสสุดท้ายของปี จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีน การผ่อนคลายล็อกดาวน์ และมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของภาครัฐ