แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมอนุมัติมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มใช้ในต้นปี 2565 ซึ่งจะทำให้ราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าถูกลง เพื่อผลักดันให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ 30% ของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในปี 2568 ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ โดยในระยะแรก จะใช้มาตรการส่งเสริมการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศ เพื่อทำให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นในประเทศ ควบคู่กับการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสถานีชาร์จ
“มาตรการส่งเสริมซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565 จะทำให้ราคารถยนต์นำเข้าที่นำมาขายในประเทศไทยมีราคาที่ถูกลงและจูงใจให้คนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ เมื่อความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะจูงใจให้เกิดการลงทุนก่อสร้างสถานีชาร์จมากขึ้น ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ไทยบรรลุเป้าหมายภายในปี 2573 จะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด”
โดยคาดว่าเร็วๆ นี้คลังจะมีการประกาศรายละเอียดของมาตรการส่งเสริมเป็นแพ็คเกจ ทั้งที่เป็นมาตรการภาษีและไม่ใช่มาตรการภาษี เช่น การลดภาษีรถยนต์ประจำปี การลดราคาค่าทางด่วน หรือการสนับสนุนที่จดรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ส่วนการให้เป็นเงินอุดหนุนแก่ผู้ที่ซื้อรถไฟฟ้าเหมือนในบางประเทศที่ใช้นั้น ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำมาใช้ในประเทศไทยหรือไม่
ปัจจุบันโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ อ้างอิงการปล่อยก๊าซคาร์บอนของรถยนต์ ซึ่งหากปล่อยคาร์บอนต่ำ อัตราภาษีสรรพสามิตจะอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่ารถยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนสูงกว่า ซึ่งหลักการนี้จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นรถยนต์ที่มีอัตราภาษีที่ต่ำที่สุดในโครงสร้างภาษีรถยนต์ สำหรับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เท่ากัน
สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษียานยนต์ไฟฟ้า 2 รูปแบบ คือ
1.เครื่องยนต์ไฮบริด หากเป็นรถยนต์นั่งเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี เสียภาษี 8% แต่จะเสียเพียง 4% จนถึงปี 2568 และหากเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 16-26% ตามปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ระหว่างนี้จนถึงปี 2568 กรมสรรพาสามิตจะลดภาษีให้ 50%
2.BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% เสียภาษี 8% โดยลดภาษีออกเป็น 2 ระดับ คือในปี 2561-2565 เสียในอัตรา 0% จาก 2% และ ปี 2566-2568 เสียในอัตรา 2%
ขณะที่ รถอีวี นำเข้าจากต่างประเทศจะเสียภาษีในอัตรา 80% ของราคาประเมิน ยกเว้นนำเข้าจากประเทศจีน ที่ไม่มีอัตราภาษี เนื่องจากเป็นข้อตกลงอาเซียน-จีน โดยขณะนี้มีค่ายเอ็มจี และ เกรทวอลล์มอเตอร์ นำเข้ารถอีวีมาทำตลาดแล้ว ขณะที่ค่ายรถญี่ปุ่นยังไม่มีความชัดเจน ค่ายยุโรปมีเพียงเมอร์ซีเดสเบนซ์เท่านั้นใช้วิธีการเปิดสายการผลิตในประเทศ ซึ่งจะเริ่มในปี 2565
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า พร้อมปฏิบัติตามนโยบาลรัฐบาลด้วยการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมองว่าเป็นมาตรการชั่วคราวในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ปัจจุบันการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศอาเซียนและจีนมีอัตราภาษีเป็นศูนย์อยู่แล้ว ส่วนประเทศอื่นจะเป็นอัตราภาษีปกติ
สำหรับปริมาณการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า ปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 2,133 คัน หดตัวเล็กน้อย จากปี 2563 ที่นำเข้าจำนวน 2,177 คัน โดยยอดนำเข้าในปี 2564 เป็นการนำเข้าจากจีนในสัดส่วน 54% ลดลงจากปี 2563 ที่นำเข้าจากจีน 91% เนื่องจาก มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากเยอรมันเป็นสัดส่วน 20% อังกฤษ 10% และสหรัฐอเมริกาอีก 10%
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) กำหนดเป้าหมายผลักดันยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย โดยระยะยาวจะต้องเป็นการผลิตรถยนต์ที่ไม่ปล่อยมลพิษ หรือ ZEV พร้อมกำหนดเป้าหมายภายในปี 2568 ไทยผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 1.05 ล้านคัน หรือ 30% ของรถยนต์ที่ผลิตได้ในประเทศ และเพิ่มขึ้นเป็น 50% ภายในปี 2573 และผลิตได้ 100% ภายในปี 2578