นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขณะนี้การบินไทยยังไม่ได้นัดเข้ามาหารือเรื่องการจัดหาแหล่งเงินเสริมสภาพคล่องกับกระทรวงการคลัง แต่ก่อนหน้านี้การบินไทยได้เข้าไปรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้รับทราบแล้ว
กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ถือว่าการบินไทยทำได้ดีกว่าแผนฟื้นฟูฯ ที่กำหนดไว้ เช่น จากเดิมบอกว่าสภาพคล่องจะหมดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม แต่ตอนนี้ก็ยังพอมีสภาพคล่องเพียงพอให้เดินหน้าต่อได้
“คลังจะต้องเข้าไปช่วยหาแหล่งเงินทุนให้การบินไทยอีกหรือไม่นั้น ยังต้องรอดู รอให้การบินไทยได้ทำให้ถึงที่สุดก่อน ที่เคยบอกต้องการ 50,000 ล้านบาท วันนี้ก็อาจต้องการไม่ถึง ซึ่งอาจจะพอที่ 25,000 ล้านบาท ส่วนรูปแบบจะเป็นแบบไหนก็ต้องให้การบินไทยใช้ความพยายามเอง เพราะเป็นเอกชนก็อาจต้องไปหากู้เงินเองก่อน เพราะคลังเข้าไปค้ำประกันให้ไม่ได้แล้ว” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวด้วยว่า การบินไทยได้แจ้งว่า หลังกลับมาเปิดการบินได้ ตัวเลขบุ๊คกิ้งเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีรายได้เข้ามา และเริ่มเห็นกำไรตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นกำไรที่เกิดจากการบิน ไม่ใช่จากการขายสินทรัพย์
ขณะนี้สภาพคล่องการบินไทยมี และมีกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความจำเป็นต้องใช้เงินกู้น้อยลง แต่หากท้ายที่สุด การบินไทยยังต้องการสภาพคล่องเพิ่ม ก็ต้องเข้ามาคุยเพื่อหาแนวทางร่วมกัน เพราะคลังไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ให้ได้ เนื่องจากการบินไทยไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว
ส่วนกรณีข้อกังขาการขายเครื่องบินของการบินไทยให้เอกชน ซึ่งซื้อมาในราคาแพงแต่ขายออกในราคาถูกนั้น นายอาคมกล่าวว่า เป็นหน้าที่ของการบินไทยที่จะต้องชี้แจงกับทางกระทรวงคมนาคม ซึ่งการขายเครื่องบินที่มีการปลดระวาง ก็ถือเป็นเรื่องปกติที่ในอดีตก็เคยทำ แต่ในส่วนของข้อกังขาที่เกิดขึ้น การบินไทยก็ต้องชี้แจงให้ชัดเจน
นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีการเติมสภาพคล่องของการบินไทย วงเงิน 25,000 ล้านบาท โดยฝั่งเอกชน อาจทำให้สถานะผู้ถือหุ้นของคลังลดลง ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของการเป็นสายการบินแห่งชาติให้ลดลงไปด้วยนั้น
ในฝั่งของกระทรวงการคลังไม่ห่วง เพราะมองว่าหากการปรับโครงสร้างของการบินไทย แล้วจะทำให้ธุรกิจและสถานะทางการเงินของการบินไทยกลับมาดีขึ้นได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ท้ายที่สุดการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ ซึ่งก็มีคนของกระทรวงการคลังนั่งอยู่ในนั้นด้วย และมั่นใจว่าผู้บริหารแผนฯ จะมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ
“สายการบินแห่งชาติ ถือเป็นภาพลักษณ์และเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แต่หากต้องมีการปรับโครงสร้างและทำให้ความเป็นสายการบินแห่งชาติลดลงบ้าง ก็ไม่น่ามีปัญหา เพราะเมื่อสถานการณ์ของการบินไทยกลับมาดีขึ้น ท้ายที่สุดทั้งนักลงทุนทุกภาคส่วน รวมถึงรัฐบาล และกระทรวงการคลัง ก็จะกลับมาให้ความสนใจและเข้าไปลงทุนเพิ่ม” นายสันติ กล่าว
ด้านนางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.) กล่าวว่า ตอนนี้ ยังตอบไม่ได้ว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นจะใส่เงินเพิ่มทุน หรือ ในฐานะเจ้าหนี้จะแปลงหนี้เป็นทุนตามแผนฟื้นฟูการบินไทยหรือไม่
เนื่องจาก ยังไม่เห็นรายละเอียดของแผน ซึ่งจะต้องหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในฐานะผู้จัดหาแหล่งเงินและระดับนโยบาย ทั้งนี้ หากมองในเชิงนโยบายแล้ว กระทรวงการคลังคงต้องมีหุ้นในการบินไทยในระดับที่พอสมควร แม้ขณะนี้ จะลดสัดส่วนลงมาเหลือ 47% และเมื่อบวกกับหุ้นที่ธนาคารออมสินถืออยู่อีกประมาณ 2% เป็น 49%