"โอไมครอน"ยังป่วนหุ้นไทยอีกเป็นเดือน โบรกแนะปรับพอร์ต เฟ้นหุ้นเติบโตเด่น

02 ธ.ค. 2564 | 07:59 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2564 | 14:38 น.

ทิสโก้ มอง"โอไมครอน’ สร้างความผันผวนให้หุ้นไทยอีกเป็นเดือน แนะปรับพอร์ตตั้งรับ ถือเงินสดเพิ่ม ทยอยเข้าซื้อ บริเวณ 1,590-1,600 จุด และระดับ 1,500-1,530 จุด ช้อปหุ้นใหญ่ปันผลดี หุ้นกำไรปีหน้าโตเด่น ด้านบล.เคทีบีเอสที เสริฟ 6 หุ้นแนวโน้มเติบโตดี

2 ธ.ค.64 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้  กล่าวว่า ในการประชุมธนาคารกลางสำคัญหลายแห่งในต่างประเทศรวมทั้งของไทยในเดือนนี้ บล.ทิสโก้คาดว่าเกือบทุกแห่งจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามเดิม  

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจปรับคาดการณ์เงินเฟ้อ และอาจพิจารณาเร่งลดอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ลง (QE Tapering) จากปัจจุบันลดลงเดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นลดลงเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้มาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) ยุติลงเร็วขึ้นเป็นในเดือน มีนาคม 2565 จากเดิมคือในเดือน มิถุนายน 2565  

 

นอกจากนี้ คาดว่าประมาณการแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ในอนาคต (Dot Plot) จะบ่งชี้ว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกจะเร็วขึ้นจากปี 2566 เป็น 2565 แต่ บล.ทิสโก้ประเมินว่า คาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วขึ้นในครั้งนี้จะไม่ส่งผลเชิงลบต่อตลาดมากนัก เพราะ Fed Funds Futures ปัจจุบันสะท้อนโอกาสการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ในปี 2565 จำนวน 2 ครั้งไปแล้ว 

 

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้

 

สำหรับในเดือนธันวาคมมีประเด็นที่น่าจับตาคือ สถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID – 19  ที่กลับมาแพร่ระบาดหนักในยุโรป โดยหลายประเทศเริ่มกลับมาใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่ "โอไมครอน" (Omicron) ซึ่งนอกจากจะมีรายงานข่าวว่าแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้าแล้ว ยังสามารถหลบภูมิคุ้มกันได้ด้วย ทำให้วัคซีนที่ใช้กันอยู่อาจไม่สามารถป้องกันได้ ซึ่งปัจจุบันมีการแพร่กระจายส่วนหนึ่งในแอฟริกาใต้ และเข้าสู่บางประเทศแล้ว เช่น บอตสวานา ฮ่องกง อิสราเอล และล่าสุด คือ เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ อิตาลี อังกฤษ และออสเตรเลีย 

“ตลาดหุ้นทั่วโลกจะผันผวนจนกว่าจะมีข้อมูลสายพันธุ์โอไมครอนมากขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลาอีกเป็นเดือน และในระหว่างนี้ก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระบาดว่าจะลุกลามออกไปมากน้อยเพียงใด ซึ่งการตอบสนองของราคาหุ้นก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ระบาด และการเลือกใช้มาตรการควบคุมของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป” นายอภิชาติกล่าว

 

ทยอยสะสมบริเวณ 1,500-1,530 จุด 

 

สำหรับผลกระทบของโอไมครอนต่อตลาดหุ้นไทย อิงจากการระบาด 2 รอบล่าสุดในปีนี้ คือ เมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2564 และเดือน กรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม 2564 ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงจากพีคประมาณ 60 จุด และ 120 จุด ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาควบคู่กับปัจจัยพื้นฐานในแง่ของค่าเฉลี่ยอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า (12m Fwd. PER) ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และปัจจัยเทคนิค บล.ทิสโก้ประเมินว่าดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ที่มีนัยสำคัญเหมาะแก่การทยอยสะสมอยู่ 2 ระดับ คือ 1. บริเวณ 1,590-1,600 จุด และ 2. 1,500-1,530 จุด และในช่วงนี้แนะนำให้ปรับพอร์ตตั้งรับ รวมถึงถือเงินสดในพอร์ตเพิ่มขึ้น 

 

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ และเม็ดเงินกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่จะไหลเข้ามากที่สุดในเดือนนี้ บล.ทิสโก้จึงเน้นเลือกหุ้นเชิงรับขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงและปันผลดี แนะนำ ADVANC และ EGCO  ผสานกับหุ้นที่แนวโน้มกำไรปีหน้าจะเติบโตดีอิงกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจภายในประเทศ แนะนำ HMPRO, JWD, RBF และ TTB  เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือนธันวาคม คือ ADVANC, EGCO, HMPRO, JWD, RBF และ TTB  ด้านแนวรับสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,550 – 1,560 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,520 – 1,530 จุด ขณะที่แนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,620 จุดและ 1,640 จุด ตามลำดับ  
 

ด้านบล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือน ธ.ค. ยังเผชิญจากหลายปัจจัย ได้แก่ ไวรัสโควิดสายพันธ์ใหม่โอไมครอน  ที่อาจส่งผลให้การเปิดเมืองทำได้ช้าลง และราคาน้ำมันดิบ  อาจเกิดสงคราม (ด้านราคา) หลังมีหลายประเทศ ทยอยนำน้ำมันดิบสำรองในคลัง (สหรัฐฯ-อินเดีย ญี่ปุ่น) มาใช้เพื่อกดดันราคาน้ำมันดิบให้ต่ำลง 

 

หาก "โอไมครอน" มีความรุนแรงมากขึ้น นักลงทุนในตลาดหุ้น จะให้น้ำหนักกับหุ้นที่มีฐานรายได้ในประเทศ หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐและเอกชน รวมถึงแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ หุ้นที่ดีจะเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรฟื้นตัว หรืออยู่ใน sector ที่มีอนาคตดี ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศจะระมัดระวังมากขึ้นหลัง Fed ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า (อาจเป็นช่วงกลางปี)

 

กลยุทธ์การลงทุน : ดัชนีฯ มี gap ประมาณ 30-50 จุด แนะเก็งกำไรหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี หุ้นที่จะดีดตัวกลับหลังผ่านการระบาด Covid-19รอบใหม่ และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว

 

เลือก 6 หุ้นTop Picks ได้แก่  

 

BCH :  จะได้ประโยชน์สูงสุดในกลุ่ม รพ. จากโควิดสายพันธุ์ใหม่ Omicron ให้ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท

COM7  : 4Q21E ขยายตัวสูงจากสินค้ากลุ่ม iOS, ปี 2022E ขยายตัวต่อเนื่อง ให้ราคาเป้าหมาย 100.00 บาท 

DOHOME : SSSG QTD เติบโตโดดเด่น +40% YoY หลังคลายล๊อกดาวน์ ให้ราคาเป้าหมาย 22.60 บาท

LEO  : แนวโน้มธุรกิจ Logistic ยังสดใสจาก Global Demand ที่เติบโตดี ให้ราคาเป้าหมาย 17.00 บาท

RS  : ทุกธุรกิจเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 4Q21E, 2022E มี upside จาก Digital Token ให้ราคาเป้าหมาย 21.10 บาท

SNNP : 4Q21E กำไรโตโดดเด่นจากการเปิดเมือง, ปี 2022E ดีต่อเนื่อง ให้ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท