การลงทุนแบบธีม หรือ Thematic Investment เป็นการลงทุนโดยการมองแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะยาว โดยอาศัยการจับทิศทางกระแสของโลก (Mega Trend)โดยวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต อาทิ แนวโน้มการใช้พลังงานสะอาดในอนาคตจากวิกฤตโลกร้อน การพึ่งพาหุ่นยนต์เพื่อการผลิตและการทำงานในอนาคต รวมถึงพัฒนาการทางเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จะนำมาใช้ในโลกอนาคต
การลงทุนในรูปแบบ Thematic Investment จะเน้นการเข้าลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทิศทางกระแสของโลกในระยะยาว จึงเป็นการลงทุนที่มีกรอบการลงทุนระยะยาวมากกว่าการมุ่งเน้นหากำไรในระยะสั้น ซึ่งทั่วไประยะเวลาการลงทุนจะอยู่ที่ 3–5 ปี โดยในปัจจุบันบริษัทจัดการกองทุนต่าง ๆ ได้นำเสนอทางเลือกการลงทุนแบบธีมให้แก่นักลงทุนอย่างแพร่มากขึ้น ซึ่งหลายยกตัวอย่างธีมการลงทุนที่น่าสนใจได้แก่
นอกจากนี้ Robotics ยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การเกษียณก่อนกำหนด รวมถึงการลาออกจากงาน ในขณะที่ต้นทุนการติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรมลดลง จึงทำให้สุดท้ายแล้วผู้ประกอบการจะเลือกทดแทนช่องว่างในส่วนของแรงงานที่หายไปจากตลาดด้วย
ในส่วนของภาคบริการการลงทุนใน Robotics ก็มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการระบาดของ COVID-19 และการใช้มาตราการ Social Distancing ทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนมีการปรับตัวนำ Robotics เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การขนส่ง การติดต่อสื่อสาร งานทำความสะอาด และงานในร้านอาหาร ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการใช้งานหุ่นยนต์ภาคบริการ มีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงถึง 55% ต่อปี ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า
รวมถึงผลักดันการใช้ระบบขนส่งจากไฟฟ้า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันในการประชุม COP26 โดยมีการบรรลุข้อตกลงเพื่อควบคุมปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการผลักดันให้ยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ทำให้คาดว่าการใช้พลังงานหมุนเวียนจะมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่องจนถึงปี 2040 เฉลี่ยปีละ 7.1% ต่อปี
ธนาคาร Citibank ได้คาดการณ์ว่า รายได้จาก Semiconductors ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7.3% ต่อปี ระหว่างปี 2020-2024 นอกจากนี้ปัญหา Global Supply Disruption คาดว่าจะเริ่มมีแนวโน้มผ่อนคลายลงหลังจากหลายประเทศทั่วโลกเริ่มกลับมาเปิดเมือง จะส่งผลให้ผู้ผลิต Semiconductor กลับมาผลิตและส่งออกชิ้นส่วนได้เพิ่มขึ้นในปี 2022 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ยังสามารถนำไปใช้ได้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้อีก อาทิ Healthcare และ Supply Chain ในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นต้น โดยจากการสำรวจบริษัทชั้นนำด้านการวิจัยเทคโนโลยี 451 แห่งในสหรัฐฯ พบว่ากว่า 52% ของบริษัทที่สำรวจมีแผนจะนำเทคโนโยลี Blockchain มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ และนักวิเคราะห์คาดการณ์การเติบโตของการนำ Blockchain มาใช้จะสูงถึง 48% ในช่วงปี 2020-2024
จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าการลงทุนแบบ Thematic Investment นับเป็นการกระจายการลงทุนในพอร์ตฟอร์ลิโอ เนื่องจากการลงทุนในตลาดทุนโดยทั่วไปมักมีความเสี่ยงของการดำเนินธุรกิจตามวัฏจักรเศรษฐกิจแผงอยู่ การลงทุนในโลกแห่งอนาคตโดยมองภาพในระยะไกลจึงสามารถลดความเสี่ยงดังกล่าวลงได้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนแบบธีมอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนทั่วไปซึ่งเกิดจากกองทุนประเภทธีมมักกระจุกตัวในบางอุตสาหกรรมทำให้การกระจายความเสี่ยงมีน้อย รวมถึงหุ้นประเภทธีมในบางธุรกิจอาจเผชิญความเสี่ยงจากระดับกำไรในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ราคาปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเนื่องจากการคาดการณ์ผลกำไรบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ทำให้ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูง
ดังนั้นการลงทุนแบบธีมจึงมีความจำเป็นจะต้องจำกัดสัดส่วนไม่ให้สูงมากเกินไป เพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนมีความเสี่ยงสูงขึ้น อย่างไรก็ดีจากสถานการณ์ปัจจุบัน ความกังวลด้านการแพร่ระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์ใหม่ Omicron ทำให้ตลาดเกิดความผันผวนอย่างมาก
แม้ว่าล่าสุดตลาดได้ลดความกังวลลดลงเนื่องจากความรุนแรงของ Omicron ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสายพันธุ์ Delta แต่ในอนาคตก็อาจมีสายพันธุ์อื่นที่มีความรุนแรงกว่าเดิมเกิดขึ้น การลงทุนแบบ Thematic Investment จึงจะสามารถมาช่วยกระจายความเสี่ยงลงทุนของพอร์ต และเสริมโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวได้