ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,932.16 จุด ลดลง 433.28 จุด หรือ -1.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,568.02 จุด ลดลง 52.62 จุด หรือ -1.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,980.94 จุด ลดลง 188.74 จุด หรือ -1.24%
หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและธุรกิจเรือสำราญ ต่างร่วงลงในการซื้อขายวันนี้
นักลงทุนวิตกว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งขณะนี้มีการแพร่ระบาดใน 43 รัฐของสหรัฐ และ 90 ประเทศทั่วโลก จะทำให้รัฐบาลต่างๆยกระดับคุมเข้มมาตรการสกัดโควิด-19
ล่าสุดผู้นำอังกฤษประกาศว่าจะใช้มาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอนหากจำเป็น ขณะที่เนเธอร์แลนด์เริ่มใช้มาตรการล็อกดาวน์รอบที่ 4 และหลายประเทศในยุโรปกำลังพิจารณาใช้มาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมการระบาด
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 1.9% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุร่วงลงเช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งหลุดจากระดับ 70 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.43% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.4% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 2.44%
ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่นายโจ แมนชิน แกนนำวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตประกาศไม่สนับสนุนร่างกฎหมาย Build Back Better วงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ไบเดน โดยอ้างว่าจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับสหรัฐ ซึ่งท่าทีดังกล่าวของนายแมนชินจะส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอในวุฒิสภา แม้ว่าผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐก่อนหน้านี้
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนพ.ย.จากเฟดชิคาโก, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564, ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน