นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤศจิกายน 2564 พบว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวในประเทศขยายตัวได้ดี
ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ประชาชนและภาคธุรกิจมีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น รวมทั้งการส่งออกสินค้าขยายตัวได้ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อย่างใกล้ชิด
โดยเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการบริโภคสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 กลับมาขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 20.2% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 28.1% สอดคล้องกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่หดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -6.5% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 10.1%
และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 44.9 จากระดับ 43.9 ในเดือนตุลาคม 2564 เช่นเดียวกันกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 15.7% อย่างไรก็ดี รายได้เกษตรกรที่แท้จริงลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -6.8%
ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 7.8% และการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -10.8%
สำหรับการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -4.9% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 1.7% ขณะที่ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวที่ 4.1% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 5.5%
มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 อยู่ที่ 23,647.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ที่ 24.7% โดยหากไม่รวมน้ำมันและสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัว 18.9%
สินค้าที่ขยายตัวได้ดี อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน และกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด ทั้งนี้การส่งออกไปยังตลาดคู่ค้าหลักของไทยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดหลัก ได้แก่ อินเดีย อาเซียน-5 เกาหลีใต้ จีน และสหรัฐฯ ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 61.1% 55.1% 30.6% 24.3% และ 20.5% ตามลำดับ
เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน ส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -0.4% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 7.0% จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสำคัญ ได้แก่ ข้าวโพด ปาล์มน้ำมัน และสินค้าประมง ขณะที่ผลผลิตข้าวเปลือกลดลงเล็กน้อย สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 85.4 จากระดับ 82.1 ในเดือนตุลาคม 2564
ด้านการท่องเที่ยว ในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ นักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) นักธุรกิจ กลุ่มสุขภาพที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยรวม จำนวน 91,255 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากเยอรมนี สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร รัสเซีย และฝรั่งเศส
สำหรับจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 11.3 ล้านคน หรือคิดเป็นการหดตัวในอัตราชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -30.9% แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า 122.3%
ขณะที่ เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2564 อยู่ที่ 2.71% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.29% ส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2564 คิดเป็นสัดส่วน 58.8% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2564 อยู่ในระดับสูงที่ 243.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ