ถ้าจำกันได้..! ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2564 บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ออกหนังสือแจ้งบอกยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิดไปยังประชาชนผู้เอาประกันภัยเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และสร้างความโกลาหลให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อสยบความวุ่นวายของผู้คนในสังคม และป้องกันไม่ให้กระทบความเชื่อมั่นต่อระบบประกันภัย
สำนักงาน คปภ. จึงได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เพื่อไม่ให้บริษัทประกันภัยบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยจำนวนมากๆ ในคราวเดียวกัน และเพื่อปกป้องผู้เอาประกันภัยไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการบอกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ต่อมาบริษัทประกันภัยต่าง ๆ ออกมาขานรับผลของคำสั่งฯ ด้วยการยืนยันจะให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยจนครบอายุกรมธรรม์ฯ อย่างไรก็ตามเมื่อยอดเคลมสูงขึ้นๆ จนท่วมเบี้ยประกันภัย ดูเหมือนคำมั่นสัญญาจะเปลี่ยนไป
โดยมี 2 บริษัทประกันภัย อย่าง บริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัทไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ออกหน้าเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ยื่นฟ้องนายทะเบียนประกันภัยต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว และขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อเปิดประตูให้บริษัทประกันภัยเจอ จ่าย จบ สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ฯกับประชาชนผู้เอาประกันภัยได้ โดยเข้าใจว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดต่อวิกฤตการขาดทุนประกันโควิดเจอ-จ่าย-จบ
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระหว่างที่ศาลปกครองกลางกำลังพิจารณาอรรถคดีอยู่นั้น ได้มีความเคลื่อนไหวเพื่อออก “ชุดความคิด” ให้เกิดความเข้าใจผิดว่า การบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยเป็นเรื่องที่ถูกต้องเพื่อแก้วิกฤตปัญหาการขายประกันโควิดแบบ เจอ-จ่าย-จบ ที่ “เกินตัว”ของบริษัทประกันภัย และหากยกเลิกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ก็จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุทำให้บริษัทประกันภัยสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยแบบ เจอ-จ่าย-จบ ได้ โดยมีการหยิบยก “ชุดความคิด” ที่มีการอ้างแนวทางปฏิบัติในประเทศต่างๆ เพียงบางส่วนมาใช้เป็นข้อมูลเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่เป็นการ “จงใจ” ใช้ข้อมูลที่หยิบเอามาเฉพาะบางส่วนทำให้เกิดความเข้าใจผิดและนำไปสู่การแปลความที่ผิดเพี้ยน ดังนั้นบทวิเคราะห์ชิ้นนี้จะช่วยคลี่ปมปัญหาให้กระจ่างบนพื้นฐานข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน
ผดุงไว้ซึ่ง “ความเป็นธรรม” ความปลอดภัยและความมั่นคงของตลาดประกันภัย นอกจากนี้ ใน ICP 10 ได้กำหนดให้หน่วยงานกำกับดูแลดำเนินมาตรการกำกับบริษัทประกันภัยที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบหรือมาตรการกำกับดูแลอย่างทันท่วงที หากการดำเนินการของบริษัทประกันภัยนั้นอาจเป็นความเสี่ยงต่อผู้เอาประกันภัยหรือก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน หรือกระทบต่อเป้าหมายของการกำกับดูแล
โดยทั่วไปในกรณีที่กรมธรรม์มีการระบุเงื่อนไขการยกเลิกกรมธรรม์ (Cancellation clause) บริษัทสามารถทำได้ โดยต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้เอาประกันภัยทราบ พร้อมทั้งเหตุผลที่ชัดเจน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 หรือ 60 วัน ซึ่งขึ้นกับแต่ละประเทศและประเภทกรมธรรม์ประกันภัย ในบางประเทศ (เช่น รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศสโลวาเกีย) มีกฎหมายกำหนดเงื่อนไขว่าภายใน 60 วัน หลังจากกรมธรรม์มีผลใช้บังคับ บริษัทสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ได้ แต่ต้องแจ้งให้ผู้เอาประกันภัยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร และภายหลังจาก 60 วัน ที่กรมธรรม์ประกันภัยมีผลใช้บังคับแล้ว บริษัทจะไม่สามารถขอยกเลิกกรมธรรม์ได้
ยกเว้น กรณีดังต่อไปนี้
นอกจาก กรณีที่เกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ หรือภัยพิบัติ เช่น เฮอริเคน บริษัทไม่สามารถหยิบยกเป็นเหตุผลในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้
ประเทศบัลแกเรีย : บททั่วไป Art. 196 Code for the Insurance ระบุว่าสัญญาประกันจะสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลา หรือตามกรณีที่ระบุไว้ใน Code for the Insurance หรือตามเหตุผลที่ตกลงกันไว้ ซึ่งต้องไม่ขัดแย้งกับจริยธรรมอันดีและผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ซึ่งจะต้องไม่ได้รับผลกระทบอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งจะเห็นว่าแม้กฎหมายของประเทศบัลแกเรียเปิดช่องให้บริษัทประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาด้วยเงื่อนไขทั่วไป แต่ก็ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนและมีเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดว่า “ต้องไม่ขัดแย้งกับจริยธรรมอันดีและประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยฯ”
ประเทศฟินแลนด์ : บริษัทประกันภัยสามารถยกเลิกกรมธรรม์ได้ ในกรณีที่ผู้ถือกรมธรรม์หรือผู้เอาประกันภัยให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนก่อนการทำประกันภัย ซึ่งหากบริษัทประกันภัยทราบถึงข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้บริษัทพิจารณาไม่รับประกันภัย โดยบริษัทผู้รับประกันภัยสามารถจำกัดค่าสินไหมทดแทนได้ในกรณีต่างๆ เช่น เมื่อผู้เอาประกันภัยให้ข้อมูลเท็จ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทรับประกันภัยยังสามารถจำกัดหรือปฏิเสธการจ่ายค่าทดแทนเมื่อผู้ถือกรมธรรม์หรือผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยที่กำหนด อย่างไรก็ตามบริษัทไม่สามารถบอกเลิกการประกันภัยอันเนื่องมาจากสุขภาพที่เสื่อมโทรมลงของผู้เอาประกันภัยภายหลังการเอาประกันภัยแล้ว หรือจากเหตุการณ์ที่เอาประกันภัยที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
ซึ่งจะเห็นว่ากฎหมายของประเทศฟินแลนด์อนุญาตให้บริษัทประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาได้แต่เฉพาะที่เกิดจากความผิดของผู้เอาประกันภัย
ประเทศเยอรมัน : บริษัทผู้รับประกันภัยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หากผู้ถือกรมธรรม์ไม่ชำระเบี้ยประกันภัย ตามมาตรา §§ 37 (1), 38(3) VVG ตามมาตรา 28 (1) VVG ผู้เอาประกันภัยอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ภายในหนึ่งเดือนหลังจากทราบถึงการที่ผู้ถือกรมธรรม์ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามสัญญา (Obliegenheit) แต่ต้องก่อนเกิดเหตุแห่งการเอาประกันภัย เว้นแต่การไม่ปฏิบัติตามสัญญานั้นมิได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ประเทศสโลวาเกีย : บริษัทประกันภัยไม่สามารถบอกเลิกสัญญาประกันภัยภัยใดๆ สำหรับบุคคล ยกเว้นประกันอุบัติเหตุ สำหรับในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่จ่ายเบี้ยประกันภัย หรือกรณีผู้เอาประกันมีการยกเลิกข้อตกลงตามสัญญาประกันภัย
ประเทศสเปน :บริษัทประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาประกันภัยเฉพาะในกรณีมีการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความเสี่ยงที่มีการคุ้มครอง กรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยในงวดหนึ่งงวดใดและกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีการโอนสัญญาการรับประกันภัย
สหราชอาณาจักร : บริษัทประกันภัยสามารถบอกเลิกสัญญาประกันภัย 1 ปี เฉพาะในกรณีผู้เอาประกันภัยมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง หรือกรณีที่ผู้เอาประกันไม่จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยหรือมีการจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยล่าช้า (สำหรับใน England และ Wales) หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีการละเมิดเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัย
ทั้งนี้ การบอกเลิกสัญญาประกันภัยสามารถทำได้โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย (ผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย) แต่ต้องมีสัญญาประกันภัยฉบับใหม่ทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัย
ประเทศออสเตรเลีย : บริษัทประกันภัยสามารถยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยเฉพาะในกรณีผู้เอาประกันไม่จ่ายเบี้ยประกันภัยรายเดือน หรือค้างจ่ายเบี้ยประกันมากกว่า 1 เดือน ผู้เอาประกันไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขในการเปิดเผยข้อมูลตามสัญญาประกันภัย
ผู้เอาประกันภัยฉ้อฉล และผู้เอาประกันภัยบิดเบือนข้อเท็จจริงก่อนทำสัญญาประกันภัย
ประเทศฟิลิปปินส์ : กฎหมายกำหนดรายละเอียดเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันภัย โดยผู้รับประกันภัยไม่สามารถยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ เว้นแต่จะมีการแจ้งล่วงหน้าแก่ผู้เอาประกันภัย และการแจ้งการยกเลิกจะมีผลจากเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งจากผู้เอาประกันภัยหรือจากเหตุ เช่น ไม่ชำระเบี้ยประกันภัย โทษฐานความผิดอันเกิดจากการกระทำที่เพิ่มอันตรายให้แก่สิ่งที่เอาประกันภัย ฉ้อโกงหรือการสื่อให้เข้าใจผิด กระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ หรือละเว้น จนเป็นเหตุให้มีอันตรายแก่สิ่งที่เอาประกันภัยเพิ่มขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในทรัพย์สินที่เอาประกันภัยซึ่งส่งผลให้ทรัพย์สินนั้นไม่สามารถเอาประกันภัยได้ เป็นต้น
ประเทศอาร์เจนตินา : กฎหมายประกันภัยของประเทศอาร์เจนตินาได้ระบุอย่างชัดเจนถึงเงื่อนไขทั่วไปโดยให้สิทธิคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายในการบอกเลิกสัญญา ตาม Termination Clause ของ Law No. 17418 Law on Insurance ที่ระบุ ดังนี้ คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ต้องระบุสาเหตุ โดยมีกำหนดระยะเวลาการบอกเลิก ทั้งนี้ หากบริษัทประกันภัยใช้สิทธิการบอกเลิกสัญญา บริษัทต้องแจ้งผู้เอาประกันภัยทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 15 วันและคืนเบี้ยประกันภัยตามสัดส่วนที่กรมธรรม์ประกันภัยยังไม่สิ้นสุด
มาตรา 39 กำหนดว่า เมื่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการกระทำของผู้ถือกรมธรรม์ บริษัทประกันภัยต้องแจ้งผลการตัดสินให้บอกเลิกสัญญาภายใน 7 วัน
ดังจะเห็นว่าแม้กฎหมายจะเปิดช่องให้บริษัทบอกเลิกได้แต่จะต้องระบุไว้ในกฎหมายชัดแจ้งหรือเมื่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการกระทำของผู้เอาประกันภัย และไม่ได้มีกรณีเปิดช่องให้บอกเลิกได้พร้อมกันทุกรายหรือแบบเหมาเข่ง
ประเทศฝรั่งเศส : การบอกเลิกสัญญาตาม Article L113-4 กำหนดว่าในกรณีที่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นระหว่างสัญญา บริษัทประกันภัยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือเสนอเบี้ยประกันภัยใหม่ได้ หากมีการแจ้งสถานการณ์ใหม่นั้นในเวลาสิ้นสุดสัญญาหรือต่ออายุสัญญา ซึ่งบริษัทประกันภัยอาจไม่ทำสัญญาหรือพิจารณากำหนดเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้นก็ได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทประกันภัยไม่อาจกล่าวอ้างเรื่องความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป เมื่อบริษัทได้แสดงความยินยอมให้มีการรับประกันภัย โดยเฉพาะเมื่อบริษัทได้รับเบี้ยประกันภัยอย่างต่อเนื่องหรือได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายแล้ว ไม่ว่าจะได้รับแจ้งความเสี่ยงดังกล่าวด้วยวิธีการใดก็ตาม
จะเห็นว่าแม้จะเปิดช่องให้บริษัทสามารถบอกเลิกได้ในกรณีที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่กฎหมายก็ต้องระบุชัดและกำหนดเงื่อนไขให้บริษัทต้องปฏิบัติและไม่ได้เปิดให้บอกเลิกได้แบบเหมาเข่ง
รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา : กฎหมายของ Florida State อนุญาตให้บริษัทประกันภัย สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้บางส่วนหรือทั้งหมดของพอร์ตการรับประกันภัย โดยต้องได้รับอนุมัติแผนการบอกเลิกกรมธรรม์ (early termination plan) จากหน่วยงานกำกับดูแลก่อน และสามารถกระทำได้เฉพาะในกรณีเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะหรือของผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
โดยหน่วยงานกำกับดูแลจะพิจารณาจากฐานะการเงิน และความเพียงพอของการทำประกันภัยต่อของบริษัทเป็นสำคัญ
จะเห็นว่าแม้จะมีกรณีที่บริษัทบอกเลิกสัญญากับผู้เอาประกันภัยหลายรายพร้อมกันได้ แต่จะต้องเป็นกรณีที่หน่วยงานกำกับดูแลต้องอนุมัติก่อน และทำได้เฉพาะกรณีปกป้องประโยชน์สาธารณะหรือผู้เอาประกันภัยเท่านั้น
ประเทศแอฟริกาใต้ : ประเทศแอฟริกาใต้เคยมีกรณีที่ศาลพิพากษาว่าการที่บริษัทประกันภัยบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยแบบเหมารวมนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลสูงของเมือง Johannesburg ตัดสินว่า การที่บริษัทประกันภัย Constantia บอกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิตทั้งหมด (5,427 ราย) เนื่องจากบริษัทต้องการประกอบธุรกิจเฉพาะประกันวินาศภัย และไม่มีความประสงค์ดำเนินธุรกิจประกันชีวิตอีกต่อไป
เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลมีคำวินิจฉัยว่า
ทั้งนี้แนวคำพิพากษาของศาลประเทศแอฟริกาใต้อาจนำมาเทียบเคียงกับกรณีข้อความในกรมธรรม์ประกันภัยโควิดแบบเจอจ่ายจบได้เพราะแม้ในเงื่อนไขกรมธรรม์จะกำหนดไว้ แต่ในการขายซึ่งส่วนใหญ่กระทำทางออนไลน์ผู้ขายก็ไม่ได้แจ้งให้ผู้เอาประกันภัยทราบถึงเงื่อนไขการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว ซึ่งหากผู้เอาประกันภัยทราบถึงเงื่อนไขว่าผู้รับประกันภัยจะอ้างเหตุบอกเลิกเมื่อความเสี่ยงภัยเปลี่ยนไป หรือ เมื่อขาดทุนผู้เอาประกันภัยก็คงไม่ซื้อประกันภัยดังกล่าว
The China Banking and Insurance Regulatory Commission (สาธารณรัฐประชาชนจีน)
บริษัทประกันภัยสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยได้ หากมีการกำหนด cancellation clause ในกรมธรรม์ประกันภัย และผู้เอาประกันภัยไม่คัดค้านการบอกเลิกกรมธรรม์ ภายหลังได้รับแจ้งการบอกเลิกจากบริษัท
The Financial Services Agency (ประเทศญี่ปุ่น)
กฎหมายประกันภัยทั่วโลกชี้ชัดไม่มีประเทศใดให้สิทธิบริษัทประกันภัยบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยตามอำเภอใจแบบ “เหมาเข่ง”
จากกรณีศึกษาตัวอย่างกฎหมายประกันภัยของหลายประเทศในโลก ดังที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นว่า
การบอกเลิกสัญญาประกันภัยจะต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งและในกรณีทั่วๆ ไปไม่สามารถบอกเลิกแบบเหมาเข่งได้ โดยส่วนมากจะกระทำได้ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยภายในวันที่กำหนด
ผู้เอาประกันภัยสมัครใจหรือตกลงร่วมกันที่จะบอกเลิกความคุ้มครอง รวมทั้งกรณีผู้เอาประกันภัยจงใจปลอมแปลงข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือกระทำการฉ้อฉล อย่างไรก็ดี หากบริษัทประกันภัยบอกเลิกประกันภัยด้วยสาเหตุอื่นจะมีลักษณะ ดังนี้
กรณีของไทย กฎหมายประกันภัยไม่ได้บัญญัติเรื่องการบอกเลิกไว้ ต้องยึดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ
เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีในประเทศไทยกรมธรรม์ประกันภัยโควิด เจอ-จ่าย-จบ จะเห็นว่ากฎหมายประกันภัยของไทยไม่ได้บัญญัติเรื่องการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของคู่สัญญาไว้ชัดเจน แม้จะต้องยึดหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาของคู่สัญญาแต่ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและเป็นเรื่องที่หน่วยงานกำกับดูแลคือ
คปภ. จะต้องเข้ามาตรวจสอบหากมีกรณีที่เห็นสมควรว่าจะมีผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัย เกิดความไม่เป็นธรรม หรือมีความเสี่ยงจากการดำเนินการใดที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ตามที่มาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.ประกันวินาศภัยฯ เปิดช่องเอาไว้ ซึ่งการกำกับดูแลของสำนักงาน คปภ. ต้องเป็นไปตามหลักการ ICPs และเจตนาของคู่สัญญาในกรณีสัญญาสำเร็จรูปต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 การที่มีการออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ก็เพื่อเป็นการย้ำให้บริษัทประกันภัย ปฏิบัติตามเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 นั่นเอง
จากข้อมูลข้างต้น ข้ออ้างที่ว่า การบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยแบบเหมารวมหรือเหมาเข่งเป็นไปตามหลักการประกอบธุรกิจประกันภัยที่เป็นสากล จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด และบริษัทประกันภัย ไม่สามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยเจอ-จ่าย-จบ แบบเหมาเข่ง โดยอ้างความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปได้
เพราะจะขัดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ นอกจากนี้การที่บริษัทประกันภัยบางแห่งโหมขายประกันภัยโควิดเจอ-จ่าย-จบ ในช่วงที่โควิดระบาดหนัก โดยออกข่าวว่าจะหยุดขายประกันภัยโควิดเจอ-จ่าย-จบ แต่กลับเร่งขายในช่วงที่โควิดระบาดมาก และอาศัยความหวาดกลัวเรื่องโควิดของประชาชนทำให้บริษัทสามารถได้รับเบี้ยประกันได้เป็นกอบเป็นกำ โดยตั้งใจว่าถ้าต้องจ่ายเคลมเยอะๆ ก็จะใช้สิทธิบอกเลิกตามเงื่อนไขที่อยู่ในกรมธรรม์ แต่กลับไม่ได้แจ้งข้อมูลแก่ประชาชนผู้ซื้อกรมธรรม์ ในช่วงที่ขายประกัน กรณีเช่นนี้จึงอาจเข้าข่ายจงใจฉ้อโกงประชาชน และหากมีการบอกเลิกกรมธรรม์ฯ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนก็อาจจะรวมตัวกันใช้สิทธิยื่นฟ้องบริษัททั้งคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายและคดีอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนได้