หลังสรรพากรประกาศแนวปฏิบัติยกเว้นหักภาษี ณ ที่จ่าย และให้รวมผลกำไร-ขายทุนในปีภาษีเดียวกัน สำหรับใช้คิดเงินได้ เพื่อคำนวณภาษี ด้วยการทำบัญชีกำไร/ขาดทุนในการซื้อขาย (เทรด) การ Stake เหรียญ และทำบัญชีต้นทุนในการขุดเหรียญให้ละเอียดชัดเจน เพื่อใช้คิดเงินได้รวมกับรายได้อื่นๆ สำหรับยื่นภาษีประจำปี
นายวีระพล บดีรัฐ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายพัฒนาการให้คำปรึกษาลูกค้า และ K WEALTH GURU ธนาคาร กสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาษีคริปโต ยังคงเป็นประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด เพราะมีจำนวนนักลงทุนในตลาดคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า เดือนพฤศจิกายน 2564 มีจำนวนบัญชีผู้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลสูงถึง 1,979,847 บัญชี เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่มีเพียงหลักหมื่น
ล่าสุด กรมสรรพากรได้ประกาศแนวปฏิบัติที่ชัดเจนมากขึ้นในหลายประเด็น สามารถสรุปได้ดังนี้
นอกจาก 4 ประเด็นนี้ กรมสรรพากรได้พูดถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขกฏหมายที่เกี่ยวข้องในอนาคต เช่น การให้เจ้าของ Exchange Platform เป็นผู้ดูแลในการหักและนำส่งภาษี ณ ที่จ่ายกับสรรพากร เนื่องจากอาจเกิดความผิดพลาดได้ในกรณีที่นักลงทุนมีปริมาณการซื้อขายหลายรายการในหนึ่งปี
รวมถึงการเปลี่ยนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีลักษณะเป็นหลักทรัพย์ ซึ่งภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อ ปกติจะใช้กับสินค้าหรือบริการที่หามูลค่าเพิ่มได้ยาก ซึ่งเหมาะกับการคำนวณรายได้และการจัดเก็บภาษีคริปโตมากกว่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ทั้งนี้ แนวปฏิบัติเรื่องการยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่ายและการนำผลกำไรและขาดทุนรวมกันเพื่อคำนวณภาษี จะมีผลเฉพาะการซื้อขายผ่าน Exchange Platform ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก..ล.ต.) เท่านั้น
นักลงทุนยังคงต้องนำเงินได้จากคริปโต มารวมกับเงินได้อื่นๆ เช่น เงินเดือน เงินจากธุรกิจ นำมาหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ เพื่อยื่นภาษีประจำปีและจ่ายภาษีในอัตราก้าวหน้า 5-35%
K WEALTH แนะนำให้นักลงทุนเตรียมยื่นภาษีด้วยการสรุปทำบัญชีกำไร/ขาดทุนในการซื้อขาย (เทรด) การ Stake เหรียญ และทำบัญชีต้นทุนในการขุดเหรียญให้ละเอียดชัดเจน