นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้า กลุ่ม ปตท.เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2564 ว่า มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 7,319 ล้านบาท ลดลง 3%
โดยปัจจัยหลักมาจากราคาเชื้อเพลิงตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม
ทำให้กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ลดลง แม้ปริมาณการขายไฟฟ้าและไอน้ำรวมจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม รวมถึงมีค่าใช้จ่ายจากการหยุดซ่อมแซมโรงไฟฟ้าโกลว์ พลังงาน ระยะที่ 5
แม้จะได้รับชดเชยจากการประกันภัยบางส่วนแล้วก็ตาม ทั้งนี้ คาดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์โรงไฟฟ้าจะกลับมาเดินเครื่องได้ตามปกติ
นอกจากนี้ กำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ปรับตัวลดลง เนื่องจากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน มีการหยุดซ่อมบำรุง ส่งผลให้รายได้ค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP) ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี จำนวน 702 ล้านบาท เนื่องจากมีปริมาณน้ำในการผลิตไฟฟ้ามากกว่าปี 2563
ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 74,874 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2563
"ในปี 2564 บริษัทฯ รับรู้มูลค่า Synergy จากการควบรวมกิจการสุทธิหลังภาษีจำนวน 1,633 ล้านบาท สูงกว่าแผนที่วางไว้ โดยส่วนใหญ่ได้รับจากการบริหารจัดการการผลิตและใช้โครงข่ายไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน ทำให้สามารถบริหารต้นทุนการผลิตและการขยายฐานลูกค้า รวมถึงการบริหารจัดการงานจัดซื้อและงานซ่อมบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ”
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 4/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 22,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิรวม 1,168 ล้านบาท ลดลง 20% สาเหตุหลักจากต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้กำไรขั้นต้นของ SPP ลดลง
ในขณะที่กำไรของ IPP เพิ่มขึ้น จากรายได้ค่าความพร้อมจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว และรายได้ค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment: EP) ของโรงไฟฟ้าศรีราชาและโกลว์ไอพีพีเพิ่มขึ้น
จากการขายไฟฟ้าเข้าระบบให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรับรู้รายได้จากการเคลมประกันภัยโรงไฟฟ้า โกลว์พลังงานระยะที่ 5 บางส่วนในไตรมาสนี้
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้เสนอจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 58 ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวม แบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท
ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2564 ยังคงเหลือส่วนเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2564 ที่จะต้องจ่ายในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท
โดยบริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 (หรือ XD วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565) และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 20 เมษายน 2565 หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 แล้ว
ส่วนแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าในปี 2565 ศูนย์วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง มีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 3.6% ต่อปี ตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
รวมถึงนโยบายสนับสนุนการลงทุนภาครัฐตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ที่ส่งเสริมการขยายกำลังการผลิตและการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ใน 3 ส่วนหลัก ดังนี้