นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) บัวหลวง จำกัด (BBLAM) หรือกองทุนบัวหลวงเปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) จะจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 9 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 หรือระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2564 และกำไรสะสม ในอัตราหน่วยลงทุนละ 0.18876 บาท
กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน เพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 4 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 18 มีนาคม 2565 เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุนจนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งล่าสุด SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 9 ครั้ง คิดเป็นเงิน 1.97759 บาทต่อหน่วย และจ่ายเงินคืนทุนไป 1 ครั้ง ในอัตรา 0.040 บาทต่อหน่วย รวมเป็นเงินปันผลและเงินคืนทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 2.01759 บาทต่อหน่วย
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2564 กองทุน SUPEREIF มีรายได้รวม 191.6 ล้านบาท รายได้จากการลงทุนสุทธิ 149.3 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ เท่ากับ 77.9% ส่วนผลการดำเนินงานทั้งปี 2564 มีรายได้รวม 832.4ล้านบาท รายได้จากการลงทุนสุทธิ 655.6 ล้านบาท อัตรากำไรจากรายได้จากการลงทุนสุทธิ เท่ากับ 78.8%
ทั้งนี้ กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ ปราจีนบุรี สระแก้ว พิจิตร และเพชรบูรณ์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์
ขณะที่ ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2562 จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584