นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง กรณีที่ทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจปี 65 จะเติบโตในอัตราชะลอตัวลง โดยจีนได้ปรับลดประมาณการเติบโตของเศษฐกิจลง ขณะที่ฮ่องกงได้ออกมาปรับลด GDP ปี 65 ลงจากปี 64 ที่ขยายตัวได้ 6% เหลือ 2% ในปี 65 นั้น มองว่าในส่วนของประเทศไทย จะโตสวนกับกระแสโลก
โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปี 65 จะขยายตัวได้ 4% ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีแรงผลักจากภาคการส่งออกที่แม้ในปี 65 อาจขยายตัวลดลงจากปี 64 ที่ขยายตัวได้ 17% เนื่องจากเป็นฐานที่สูง และแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวหลังรัฐบาลกลับมาใช้มาตรการเทสแอนด์โก และไทยแลนด์พาส ซึ่งล่าสุดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติแสดงความจำนงเดินทางมาไทยแล้วกว่า 3 แสนคน
“ปีนี้ ก็ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ถึง 4% ซึ่งเศรษฐกิจจะเป็นวัฏจักร คือเมื่อเจอวิกฤต ก็จะกลับมาฟื้นตัวได้โดยใช้เวลาประมาณ 2 ปี ซึ่งประเทศไทยก็มีสัญญาณการฟื้นตัว และได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และตัวเลข 4% อาจมองว่าน้อย แต่จะเป็นตัวเลขที่เติบโตแบบช้า แต่ชัวร์ คือ เติบโตแบบมีเสถียรภาพ” นายอาคมกล่าว
ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งสูงขณะนี้นั้น ทางด้านสาธารณสุขไม่ได้มีการห้ามดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ระดับการบริโภคยังคงมีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันมาตรการของรัฐบาล ในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ก็ยังไม่หมด ยังมีเม็ดเงินที่ออกมาใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง พร้อมย้ำขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาใส่เงิน "คนละครึ่ง" เพิ่มตามที่เอกเสนอ
ส่วนความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้น ยอมรับว่ากระทบไปทั่วโลก รวมทั้งไทย โดยเฉพาะเรื่องของราคาน้ำมันดิบ ที่ขณะนี้พุ่งสูงถึง 90-100 เหรียญฯต่อบาเรลแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าจากการที่หลายประเทศตะวันตกเข้าไปช่วยเจรจานั้น จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นและไม่บานปลาย แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามจากปัญหาความขัดแย้งของ 2 ประเทศที่เกิดขึ้น นอกจากจะกระทบต่อราคาน้ำมันไปทั่วโลกแล้ว ในส่วนของไทย ยังกระทบด้านการค้าด้วย เนื่องจากรัสเซียและยูเครนก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียที่มาไทยก็มีจำนวนมาก แต่เนื่องจากขณะนี้การท่องเที่ยวของไทยยังฟื้นตัว ดังนั้นจึงยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก