นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงทิศทางนโยบายการคลังในอนาคต ว่า จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไทยมีภาระทางการคลังจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องจัดหาเงินกู้เพื่อนำมาใช้ช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้นสิ่งที่ต้องมองไปในอนาคตและมีการพูดถึงทั่วโลก ใน 2 ประเด็น คือ ความยั่งยืนทางการคลัง ซึ่งหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพมาตรการทางการคลัง ดังนั้นจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ในรัฐ และการขยายฐานภาษี
ทั้งนี้กรอบกติกาของโลก ในเรื่องของนโยบายการคลังจะเปลี่ยนไป คือ เรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำในการจัดเก็บภาษีระหว่างประเทศ เพราะยังมีความได้เปรียบเสียเปรียบ และความเหลื่อมล้ำยังเกิดขึ้นในประเทศยากจน ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะมีกติกาของโลกในเรื่องของการเก็บภาษีซ้อนก็ตาม ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ได้ออกกติกาใหม่เพื่อลดความได้เปรียบด้านภาษี
“กติกาโลกส่วนนี้ จะช่วยลดการเสียเปรียบลง หรือลดการกัดกร่อนทางภาษีให้มากยิ่งขึ้น เช่น ประเทศที่มีบริษัทข้ามชาติต่างๆ อาจมีการโยกย้ายรายได้ ไปจัดเก็บในประเทศของตนแทนที่จะเสียภาษีให้กับประเทศที่สร้างรายได้นั้นให้ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในสมาชิก OECD จะมีทั้งส่วนที่ต้องปฏิบัติและมีการเจรจาเพื่อให้ไทยได้ประโยชน์จากกติกา และลดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บภาษี ซึ่งเป็นการสร้างความยั่งยืนภาคการคลังของไทยในอนาคต” นายอาคม กล่าว
นอกจากนี้กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างออกมาตรการภาษีเพื่อจูงใจ จาก venture capital ทั้งไทยและจากต่างชาติ ให้เข้ามาลงทุนในเอสเอ็มอี และ สตาร์ทอัพของไทย ที่รวมถึงภาคการเกษตร ซึ่ง venture capital จะมีส่วนสำคัญในการทำให้สตาร์ทอัพไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงของการเริ่มต้น ก่อนเติบโตและสามารถเข้าไประดมทุนผ่านตลาดทุน หรือ ตลาดหลักทรัพย์ได้ ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ให้ความสำคัญ และมีการหารือร่วมกับสภาดิจิทัลแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ซึ่งจะใช้มาตรการภาษีเข้ามาช่วยเพื่อให้เกิดการจับคู่กันระหว่างสตาร์ทอัพ และผู้มีเงิน หรือ กองทุนร่วมลงทุน หรือ venture capital
นายอาคมกล่าวด้วยว่า ไทยยังไม่ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 จึงยังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการป้องกันการแพร่ระบาด และไม่ให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบไปมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ดี หากดูจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายๆตัวขณะนี้ พบว่า ดีขึ้นโดยลำดับ จึงมั่นใจว่าเศรษฐไทยในปี 65 จะขยายตัวได้ 3.5% - 4.5%