รายงานข่าวจากมอร์นิ่งสตาร์ ไทยแลนด์ ณ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 พบว่า 5 อันดับผตตอบแทนกองทุนน้ำมัน คือ
กลุ่มกองทุนน้ำมัน เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 65.93% และย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 8.60% ต่อปี ย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 0.18% ต่อปี แต่ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ย -8.61% ต่อปีหากดูผลงานย้อนหลัง 10 ปี กองทุนน้ำมัน ถือเป็นกองทุนที่มีความผันผวนสูงและภาพรวมผลตอบแทนระยะยาวยังติดลบอยู่ โดยกองทุนน้ำมันในปี 2564 มีมีเงินไหลออกประมาณ 2,471 ล้านบาท
เชื่อว่าสิ่งที่นักลงทุนอยากรู้คือ
สำหรับพอร์ตการลงทุนปี 2022 ที่มีการแนะนำโดย บลจ.กสิกรไทย ระบุว่า นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ปานกลางควรแบ่งการลงทุนประกอบด้วย ตราสารหนี้ในประเทศ 34% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1% หุ้น55% โครงสร้างพื้นฐาน 3% อสังหาริมทรัพย์ 2% ทองคำ 5%
ส่วนนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง ควรแบ่งเป็นการลงทุนในหุ้น 85% ตราสารหนี้ 10% โครงสร้างพื้นฐาน 3% อสังหาริมทรัพย์ 1% ทองคำ 1% ซึ่งมีมุมมองต่อการลงทุนในราคาน้ำมันแบบกลางๆ แต่ไม่อยู่ในพอร์ตการลงทุนที่แนะนำเบื้องต้น
ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งในปีนี้กลุ่มโอเปคจะมีบทบาทต่อความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันมากขึ้น และประมาณการณ์ว่าภาพรวมของราคาน้ำมันในปี 2022 จะอยู่ในกรอบ 78-87 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลล
อย่างไรก็ตาม (21ก.พ.65) รอยเตอร์รายงานว่า สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 1.34 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ที่ 94.88 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (23.12 GMT) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.68 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ที่ 92.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากแตะระดับสูงสุดที่ 92.93 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่โกล์แมนแซกคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent เฉลี่ยในปี 2565 ที่ 96 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปรับเพิ่มจาดคาดการณ์ครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 81 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และคาดการณ์ปี 2566 อยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนราคาจะปรับขึ้นได้อีกหรือไม่นั้น ศูนย์วิเคราะห์ราคาน้ำมัน กลุ่มไทยออยล์ ระบุว่า ราคาน้ำมันดิบ(28 ก.พ.) ปรับลดหลังจากพุ่งทะลุ 100 เหรียญในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา หลังสหรัฐฯ ยืนยันที่จะไม่ใช้มาตรการ คว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันจากรัสเซีย ส่งผลให้ตลาดคาดการส่งออกน้ำมันจากรัสเซีย จะได้รับผลกระทบไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดสัปดาห์สหรัฐฯและพันธมิตรประกาศระงับ SWIFT Code ของรัสเซีย ขณะที่สถานการณ์มีแนวโน้มทวีความรุนแรง หลังรัสเซียมีการโจมตีคลังเก็บน้ำมันและท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติในยูเครน ทั้งนี้ท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี
สหรัฐฯ มีการหารือกับชาติพันธมิตรและจีนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการปล่อยน้ำมันเเชิงยุทธศาสตร์ (SPR)เพิ่มเติม เพื่อพยายามลดอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงานที่มีการปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมากตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
ตลาดจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือ โอเปกพลัสที่จะจัดขึ้น ในวันที่ 2 มี.ค. เพื่อกำหนดนโยบายการผลิตสำหรับเดือน เม.ย. 65 โดยตลาดคาด ทางกลุ่มจะคงมติการปรับเพิ่มการผลิตที่ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน
ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงหนุนจากตัวเลขการส่งออกน้ำมันเบนซินจากจีนในเดือน ม.ค. ที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.64 ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันเบนซินมาเลเซียและอินโดนีเซีย ในเดือน ก.พ. ยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม
ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงหนุนจากปริมาณน้ำมันดีเซลและอากาศยานคงคลังสิงคโปร์ประจำสัปดาห์ สิ้นสุดวันที่ 23 ก.พ. ที่ปรับตัวลดลงลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 6 สัปดาห์
Bloombergม รายงานว่าในปี 2021 ประมาณการณ์ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (EV) ทั่วโลกอยู่ที่ 6.3 ล้านคัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากยอดรวมในปี 2020 จากหลังจากยอดขายที่สูงกว่าที่คาดการณ์ในจีนในไตรมาส 3 ปี 2564 โดยไตรมาสที่สามของปี 2564 มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบเป็นรายปี เหลือเพียง 1.7 ล้านคัน นี่เป็นไตรมาสที่สี่ติดต่อกันที่มีการขายรถยนต์ EV โดยสารมากกว่า 1 ล้านคัน
ทั้งนี้จีนและยุโรปยังคงเป็นผู้นำตลาด เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในทั้งสองภูมิภาคต่างผลักดันให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบการประหยัดเชื้อเพลิง และยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีกทั่วโลกในปีนี้ แม้ว่าปัญหาการขาดแคลนชิปทั่วโลกที่กำลังดำเนินอยู่อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของผู้ผลิตรถยนต์ในการดำเนินการตามคำสั่งซื้อทั้งหมดในปี 2565
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ด้วยว่ารถสันดาปภายในตัวสุดท้ายจะต้องออกจากสายการผลิตประมาณปี 2578 และถึงแม้จะต้องเลิกใช้รถยนต์รุ่นเก่าบางส่วนในปี 2040 โดย Honda ประกาศนโยบายยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้งานเครื่องยนต์แบบสันดาปภายในเป็นรถไฟฟ้า 100% ทั้งหมดทั่วโลกภายในปี 2040
มีการคาดการณ์ว่า ในปี 2030 ยอดจำหน่ายของฮอนด้าในตลาดใหญ่ทั่วโลก จะมียอดที่เป็นรถไฟฟ้าและรถพลังงานไฮโดรเจนราว 40% และจะขยับขึ้นเป็น 80% ภายในปี 2035 และจะเพิ่มเป็น 100% ได้ในปี 2040
สรุปแล้วถ้าดูจากข้อมูลเงินไหลออกจากกองทุนน้ำมันและการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาหลายคนคงมองว่า เป็นจังหวะที่ดีในการตัดใจทิ้งจากการลงทุนน้ำมัน ซึ่งจากการสอบถามบรรดาแหล่งข่าวในวงการกองทุนรวมพบว่า ส่วนใหญ่กองทุนน้ำมันจะไม่ใช่กองทุนแนะนำในปีนี้
ส่วนระยะสั้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ หลังจากรอบนี้เริ่มปรับตัวขึ้นไปในระดับสูงแล้วนั้น เชื่อว่าอัพไซด์จะเห็นได้ไม่มากนักถ้าเทียบกับช่วงที่ผ่านมา เพราะถ้าดูราคาปัจจุบันกับกรอบที่โกลด์แมนแซกคาดไว้ที่ 105 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลในปี 2566 ท่ามกลางความผันผวน ขณะที่ระยะยาวยังน่าสนใจอยู่หรือไม่นั้น ถ้ามองจากเทรนด์โลกกับการมาของเครื่องยนต์EV แล้ว บอกได้เลยว่าแพ้ทางมวยสด ซ้อมมาดีเสียมากกว่า