หลังประกาศจะพัฒนาในธุรกิจกัญชง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูงและด้วยกฎหมายที่อำนวยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรเชิงพาณิชย์ได้อย่างถูกต้อง พร้องวางเป้าหมายเป็นผู้ดำเนินธุรกิจกัญชงครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ล่าสุดหลังประกาศงบการเงินปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิกว่า 195 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 3,816% จากปีก่อน บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE ได้เริ่มก้าวแรกอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการลงทุนในกัญชงต้นน้ำกับบริษัท แคนนาบิซ เวย์ จำกัด หรือ CW เจ้าของโรงเรือน Green House ขนาด 9,000 ตร.ม.ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีศักยภาพสูงและป้อนวัตถุดิบคุณภาพสู่ตลาดได้จำนวนมากพร้อมสัญญารับซื้อที่มีในมือที่มีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายวรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากงานเพาะปลูกแล้ว บนพื้นที่ 9,000 ตร.ม. โดยปลูก crop (รอบการปลูก) แรกจำนวน 50,000 ต้น แบ่งเป็น indoor 30,000 ต้นและ outdoor อีก 20,000 ต้น คาดว่าจะได้ช่อดอกแห้งไม่น้อยกว่า 5,000 กิโลกรัม มีราคาขายประมาณ 15,000 บาทต่อกิโลกรัม และจะมีสาร CBD ไม่น้อยกว่า 15%
“เราคาดว่า จะสามารถปลูกได้ 3-4 crop ต่อปี คิดเป็นประมาณการรายได้ไม่น้อยกว่า 330 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ CW” นายวรศักดิ์กล่าว
เป้าหมายต่อไปคือ การพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำ ซึ่งปัจจุบันได้ศึกษาเรียบร้อยแล้วว่า จะใช้เทคโนโลยีอะไร เหลือเพียงสรุปรายละเอียดเรื่องพันธมิตร รวมถึงุเรื่องอุปกรณ์ สเปกเครื่องสกัดอีกเล็กน้อย โดยตั้งเป้าจะแถลงถึงโครงการสกัดกลางน้ำในไตรมาส 2 และคาดว่า จะสามารถสร้างรายได้ในไตรมาส 4 ปี 2565
ขณะที่ส่วนอุตสาหกรรมปลายน้ำ บริษัทฯ ตั้งเป้าจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์เชิงสุขภาพ Premium Supplement Products ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงสุดหากเทียบกับประเภทอื่นๆ และมีคุณภาพตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในระดับพรีเมียม (Premium Class) โดยคาดว่า จะสามารถออกผลิตภัณฑ์สู่ตลาดได้ภายในปี 2566 หรือเมื่อ supply ของวัตถุดิบหรือสารสกัดจากกัญชงในโครงการต้นน้ำของกลุ่มบริษัท EE มีปริมาณและเสถียรภาพมากพอ
“Roadmap ทั้งหมดถือเป็นการเดินตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ขององค์กร นั่นคือ EE เราตั้งเป้าจะเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจกัญชงครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำและปลายน้ำ ด้วยการนำเทคโนโลยีด้านการเกษตร (Smart Farming) และการสกัดมาผนวกกับทีมงานวิจัยด้านต่างๆ เพื่อเชื่อมรวมเข้าด้วยกันและนำสู่ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุด” นายวรศักดิ์ กล่าว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ได้ประเมินราคา EE (ณ วันที่ 26 มกราคม 2565) ไว้ที่ 3 บาทต่อหุ้น โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า ตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์จากกัญชงสูง เนื่องจากสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ โดยเฉพาะสารสกัด CBD จากช่อดอกกัญชง รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
ทั้งนี้ กระแสความนิยมบริโภคกัญชงที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 1-3 ปีแรก จะเป็นปัจจัยหนุนราคาผลิตผลกัญชง เนื่องจากอุปทานยังมีจำกัด รวมทั้งภาครัฐฯ ยังมีการสนับสนุนด้วยการห้ามนำเข้าผลิตผลจากกัญชงไปอีก 4 ปี (ถึงปี 2568)จะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวผลการดำเนินงานที่ดีของ EE ผลิตผลจากกัญชงจากแหล่งเพาะปลูกของ CW มีสัญญารับซื้อจากผู้ประกอบการขั้นกลางน้ำแล้ว
อย่างไรก็ตาม การประเมินจากการดำเนินงานของ CW เพียงโครงการเดียว คาดกำไรเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565 ถึงปี 2567 จึงแนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 3.0 บาท หรือ upside 43%
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,762 วันที่ 3 - 5 มีนาคม พ.ศ. 2565