นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่าขณะนี้แม้ตลาดหุ้นไทยจะถูกกดดันจากสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แต่คาดจะส่งผลกระทบระยะสั้น โดยภาพรวมหุ้นไทยยังมีความแข็งแกร่ง จากปัจจัยการฟื้นตัวของศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ และการเลือกตั้งใหม่ที่คาดจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้ บวกกับเงินทุนต่างชาติที่ยังไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุมมองดัชนีหุ้นไทย (SET )ทั้งปีที่ 1,800 จุด แต่ต้องอยู่บนราคาพลังงานที่ไม่สูงจนเกินไป
ขณะที่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นในรอบนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงไปสู่จุดต่ำสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนราว 8% ใกล้เคียงกับสถิติในอดีต โดยปัจจัยเสี่ยงจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซีย ว่าจะถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐและชาติพันธมิตรในยุโรปหรือไม่นั้น เพราะถือเป็นกระเป๋าเงินใหญ่สุดของรัสเซีย มองว่าการจะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมได้นั้น สหรัฐและชาติพันธมิตรจะต้องมีการหารือกับทางโอเปกก่อน จึงยังไม่น่าจะดำเนินการได้เร็วและหากแก้ปัญหาตรงนี้ได้ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ประกอบกับเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ทำให้มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
"คาดว่าในระยะกลาง ดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นมาได้และเชื่อว่าปลายปีนี้ ยังเป็นขาขึ้น ดังนั้นนักลงทุนระยะกลาง-ยาว สามารถลงทุนได้ แต่ระยะสั้นแนะนำลงทุนในทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือเงินดอลลาร์ในช่วงที่มีสงครามฯ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยที่สุด" นายไพบูลย์ กล่าว
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครนและมาตรการตอบโต้ด้านการค้าและการเงินของสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซี่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและกระทบเรื่องอัตราเงินเฟ้อจากราคาพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มยูโรโซนซึ่งมีการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย
นอกจากนี้ ความชัดเจนในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนโดยเฉพาะในเอเชีย ซึ่งมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูงมาก อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น และไทย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าติดตาม ในส่วนของปัจจัยในประเทศได้แก่ การรับมือของภาครัฐต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์โอมิครอน นโยบายการเปิดรับนักท่องเที่ยวในระยะถัดไป และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน
FETCO เปิดเผยถึงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ในเดือน ก.พ.65 สรุปได้ดังนี้
ทั้งนี้ผลสำรวจ ณ เดือน ก.พ.65 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า