“เอเซีย พลัส"จัด 6 หุ้นเด่น คาดดัชนีเดือนเม.ย.แกว่งกรอบ 1660-1750 จุด

05 เม.ย. 2565 | 09:44 น.
อัปเดตล่าสุด :05 เม.ย. 2565 | 16:45 น.

บล.เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ประเมินการลงทุน Q2/65 จับตาความเสี่ยงจากสงครามเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินเฟด ชี้กำไรบจ.และการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย หนุนตลาดหุ้นไทย คงเป้าหมายดัชนีปี 65 ที่ 1810 จุด พร้อมจัด 6 หุ้นเด่นน่าลงทุน เดือนเม.ย.

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส ( ASPS ) กล่าวว่า ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย มองความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังมีอยู่แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าดัชนีตลาดหุ้นโลกรวมถึงไทยเราได้กลับมาสู่ก่อนจุดเกิดสงครามแล้ว  สะท้อนถึงนักลงทุนดูดซับต่อสงครามทางกายภาพไปแล้ว 

 

จับตา" สงครามศก.- นโยบายการเงินเฟด"

 

แต่สงครามทางเศรษฐกิจถือเป็นความเสี่ยงในระยะถัดไป โดยเฉพาะในฝั่งรัสเซียที่เป็นผู้ส่งออกพลังงานและวัตถุดิบตั้งต้นของหลายอุตสาหกรรม ซึ่งผลที่ตามมาจะกระทบต่อปริมาณการค้าโลกและเงินเฟ้อตามมา

 

ส่วนนโยบายการเงินของ FED เชื่อว่าจะเห็นการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยฯ ในการประชุมรอบถัดไปเดือน พ.ค. แต่สิ่งที่ให้น้ำหนักมากกว่าการส่งสัญญาณการปรับลดขนาดงบดุลที่ถือเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ 

 

จากปัจจุบันขนาดงบดุลของ FED อยู่ในระดับสูงถึง 9 ล้านล้านเหรียญฯหรือคิดเป็นสัดส่วน 38.8% ต่อ GDP สหรัฐฯ หากส่งสัญญาณการปรับเร็วจนเกินไปอาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้น แต่อย่างไรก็ตามความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยที่จำกัดโอกาสการเร่งดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของ FED ในระดับหนึ่ง

นายเทิดศักดิ์ กล่าวต่อว่า  “หนึ่งในสัญญาณที่สะท้อนความกังวลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะถัดไปคือการเกิด Inverted Yield ในตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯอายุ 2 และ 10 ปี ที่ในอดีตที่ผ่านมามักจะเป็นการชี้นำต่อการเข้าสู่ภาวะ Recession ในช่วง 9-14 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากเกิดขึ้นมักจะสร้างความผันผวนต่อสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามในตลาดตราหนี้ไทยยังไม่เกิดภาวะดังกล่าว ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในภาวะฟื้นตัวโดยเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยฯยังอยู่ในระดับต่ำจนถึงปลายปีทำให้แรงกดดันจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ”

 

ด้านภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2565 ยังมีความได้เปรียบประเทศอื่นๆ  จากหลาย Sector ที่คาดว่าจะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำและยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากราคาน้ำมันที่ยืนในระดับสูงกว่าปกติ หนุน EPS ปี 65 มี Upside ส่วนเพิ่มราว 4 ถึง 5 บาท/หุ้น 

 

โดยฝ่ายวิจัยประเมิน คาดการณ์ EPS ปี 2565 ไว้ที่ 88.9 บาท/หุ้น  หากพิจารณามุม Valuation ถือว่าน่าสนใจเพราะอยู่บนระดับ Market Earning Yield Gap (MEYG) ที่ 4.6% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ซึ่งถือว่าสูงกว่าตลาดหุ้นโลก ถือเป็นจุดดึงดูด Fund Flow ทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดการณ์ทิศทาง SET Index เดือน เม.ย. 65 แกว่งในกรอบ 1660-1750 จุด พร้อมคงเป้า SET Index ณ สิ้นปี 65 ที่ 1810 จุด


 

คัด 6 หุ้นเด่นน่าสะสมลงทุน

 

หุ้นฟื้นตัวตามเศรษฐกิจในประเทศ ได้แก่ 

 

  • MAJOR จากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องที่ฉายในปีนี้ ที่จะผลักดัน ให้ราคาเหมาะสม( FV) เท่ากับ 25.00 บาท
  • AEONTS  : โดยค่า P/E ถือว่าถูก 11-12  เท่า ขณะที่ dividend yield 2.5-2.8% ส่วนประเด็นราคาหุ้นมาพร้อมกับธีมการเปิดเมือง เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งส่งผลบวกต่อสินเชื่อ กำหนดราคา FV ที่ 250.00 บาท

 

หุ้นได้แรงหนุนจากต้นทุนอิงตามราคา Commodity เริ่มชะลอลง ได้แก่

 

  • GPSC กำหนด FV เท่ากับ 86.50 บาท/หุ้น นับเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับ sentiment เชิงบวกในด้านมาตรการสนับสนุน EV ของทางภาครัฐ 
  • SAPPE แรงหนุนเข้าสู่ไฮซีซั่นช่วงไตรมาส 2 ตลาดส่งออกมีแรงหนุน จากเงินบาทอ่อนค่า ขณะที่ในเชิง Valuation มี PER ซื้อขาย 19 เท่า ต่ำกว่า ICHI ที่ 24 เท่า และ CBG, OSP ราว 30 เท่า กำหนด FV เท่ากับ 30.00 บาท 

 

หุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่ง ได้แก่

 

  • SCC  ถือเป็นหุ้นที่ควรมีในพอร์ต งบลงทุนที่ถูกใช้ไปกว่า 3 แสนล้านบาท ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมากำลังเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนการลงทุน กำหนด FV เท่ากับ 500 บาท

 

  • LH  โดยภาพรวม LH จ่ายเงินปันผลอัตราสูง 6% ต่อปี ถือเป็นอีกหนึ่งตัวที่ควรมีไว้ในพอร์ต โดยไม่ผันผวนในด้านโครงสร้าง ให้ FV ปี 2565 อยู่ที่ 11.00 บาท