“บิ๊กตู่” พอใจ Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยที่ Baa1

08 เม.ย. 2565 | 06:24 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2565 | 13:38 น.

“บิ๊กตู่” พอใจ Moody’s คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย ที่ Baa1 และมุมมองความน่าเชื่อถือที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ย้ำรัฐบาลยังคงนโยบายการดูแลประชาชน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น

วันที่ 8 เม.ย. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีพอใจ จากการที่ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ  Moody’s Investors Service หรือ มูดี้ส์ ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) 
 

 

โดยมูดี้ส์มีมุมมองค่อนข้างเป็นบวกต่อสถานะของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจ มาตรการเยียวยาดูแลประชาชนในช่วงวิกฤตโควิด19  ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง

 

พร้อมประเมินว่าโครงการอีอีซีจะสนับสนุนการลงทุนและการเติบโตของประเทศไทยในระยะยาวอย่างแข็งแกร่ง และยังมองว่าใน 2-3 ปี เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยมูดี้ส์ได้คาดว่าจีดีพีของไทยปี 2565-66 จะเติบโต 3.4% และ 4.8% ตามลำดับ  

 

“นายกรัฐมนตรีพอใจกับผลการประเมินประเทศไทยที่ออกมาล่าสุด เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงต้องเผชิญกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด19 เช่นเดียวกับทุกประเทศทั่วโลก นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก 

 

แต่รัฐบาลก็ได้ใช้ความพยายามเต็มที่ในการดูแลชีวิต ความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชน ขณะเดียวกันก็ได้บริหารฐานะการเงิน การคลังของประเทศให้มั่นคงเนื่องจากเป็นภาคที่มีผลอย่างสำคัญต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและการลงทุนในระยะยาว

 

ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลจะยังคงนโยบายการดูแลประชาชนไปพร้อมกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น ทั้งการรักษาฐานะการเงินการคลัง และการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มศักยภาพประเทศ” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

ด้านนางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+  และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)

 

โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.ประเทศไทยมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความหลากหลาย และมีประสิทธิผลของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพและแข็งแกร่ง ทำให้มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจที่จะสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและแรงกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง (Shock) ในอนาคตได้

 

ซึ่ง Moody’s คาดว่า ในระยะยาวการดำเนินการภายใต้โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) จะสนับสนุนการลงทุนเพิ่มขึ้นและการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง

 

นอกจากนี้ Moody’s คาดว่า ในระยะ 2 – 3 ปีข้างหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คลี่คลาย และภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้น จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 และปี 2566 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ร้อยละ 3.4 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ

 

2. ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Baa Peers) โดย Moody’s คาดว่า ช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้ารัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง

 

โดยหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ปี 2565 – 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 52 - 54 ของ GDP ทั้งนี้ เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวส่งผลทำให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง

 

นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมากประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมากจะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)

 

3. ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความเข้มแข็ง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าปี 2565 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเล็กน้อยเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และต้นทุนการขนส่งที่สูงขึ้น แต่คาดว่าจะกลับมาเกินดุลในปี 2566

 

4. สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ Moody’s ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือ (Sovereign Credit Rating) ของประเทศไทย คือ การเพิ่มระดับการลงทุนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของผลผลิต (Productivity Growth) อย่างยั่งยืน ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบจากปัญหาช่องว่างทางทักษะของแรงงานและโครงสร้างประชากรจากสังคมผู้สูงอายุได้

 

และการดำเนินการภายใต้ EEC ดีกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่ปัจจัยสำคัญซึ่งอาจกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ คือ ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกินกว่าที่ Moody’s คาดการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงการดำเนินการตามแผนการคลังระยะปานกลาง ตลอดจนปัจจัยทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและภาคการคลังของประเทศ

 

5. นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยสะท้อนได้จากล่าสุดธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเป็นบวกได้ร้อยละ 3 ในปี 2565 และขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2566 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ 2 - 3 เดือนสุดท้ายของปี 2564

 

และคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2565 สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยที่อยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล ซึ่งมาตรการของรัฐบาลที่ผ่านมา

 

เช่น เราไม่ทิ้งกัน เราชนะ การเพิ่มกำลังซื้อผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และคนละครึ่ง เป็นต้น ช่วยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี และมีส่วนทำให้สถานการณ์ด้านความเหลื่อมล้ำ

 

สะท้อนจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI ในปี 2563 มีค่าอยู่ที่ 0.35 มิได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อน COVID-19 และลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา

 

สำหรับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นสุดไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 90.1 ต่อ GDP ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลของ GDP ที่หดตัวจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ ระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลงในอนาคต

 

นอกจากนี้ หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ (ร้อยละ 34.5) เพื่อการประกอบอาชีพ (ร้อยละ 18.1) และเพื่อการซื้อทรัพย์สิน (ร้อยละ 12.4) ในขณะที่หนี้ครัวเรือนเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีสัดส่วนที่น้อยกว่าอยู่ที่ร้อยละ 27.8 ดังนั้น หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่จึงเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในอนาคตต่อไป