“คลัง” คุมเข้มใช้จ่ายเงิน ม.28 ห่วงประกันรายได้ใช้งบบาน

19 เม.ย. 2565 | 01:37 น.
อัปเดตล่าสุด :19 เม.ย. 2565 | 08:46 น.

“อาคม” หวังดึงการใช้จ่ายเงินของรัฐตามมาตรา 28 ให้กลับมาอยู่ภายใต้กรอบเดิมไม่เกิน 30% ของงบประมาณฯ พร้อมคุมเข้มการใช้จ่ายเงินประกันรายได้สินค้าเกษตรมากขึ้น ห่วงใช้งบบาน ชี้ไม่ใช่การซุกหนี้ แม้ไม่รวมอยู่ในหนี้สาธารณะ

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการใช้จ่ายเงินตามมาตรา 28 ภายหลังคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2564 ที่ประชุมมีมติขยายกรอบยอดคงค้างตามมาตรา 28 จากเดิมต้องไม่เกิน 30% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นไม่เกิน 35% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นระยะเวลา 1 ปี

 

ซึ่งใกล้จะครบกำหนดในสิ้นเดือนกันยายน 2565 นี้ จึงต้องไปดูงบประมาณของปี 66 ซึ่งจะเริ่มใช้เม็ดเงินในวันที่ 1 ตุลาคม 2565 นั้น ก็จะทำให้เห็นว่ามีเม็ดเงินจากงบประมาณประจำตั้งจ่ายชดเชยในมาตรา 28 เท่าไหร่

และจะต้องไปดูใน 2 ประด็น คือ 1.โครงการที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้วและอยู่ระหว่างดำเนินการอยู่ สามารถปิดโครงการใดได้แล้วบ้าง ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดจะต้องไปไล่ดูเพื่อปิดโครงการ และส่งเงินคืนกลับมา

 

ส่วนที่ 2 คือ โครงการที่จะดำเนินในปี 65 และ ปี 66 นั้น จะต้องไปดูในเรื่องของความเหมาะสม หรือ ขนาดของโครงการ เช่น โครงการประกันรายได้ข้าว ที่ควรจะต้องปรับลดวงเงินลงมาให้อยู่ในกรอบของการใช้เงินตาม มาตรา 28  

“ดังนั้นจะมีเงินจากวงเงินงบประมาณปี 66 ที่จะเข้ามาส่วนหนึ่ง จากการปิดโครงการส่วนหนึ่ง และขนาดของวงเงินที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่า 30% นั้น เราจะกลับมาได้หรือไม่ แต่เราอยากให้กลับมา เพราะไม่อยากให้ใช้เงินล่วงหน้ามากเกินไป เพราะเงินที่กลับมาถ้าตั้งชดเชยเต็มตามที่โครงการกำหนดก็จะไม่มีปัญหา” นายอาคม กล่าว

 

อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

นายอาคม กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาสำนักงบประมาณก็มีการตั้งงบชดเชยมาให้ไม่ครบ ทำให้ยอดคงค้างการใช้จ่ายตามมาตรา 28 พอกพูน และกรอบวงเงินไม่มีเหลือ เช่น เมื่อมีการใช้จ่ายไป 100 บาท และมีการตั้งงบประมาณชดเชยคืนมาในปีถัดไปที่ 100 บาท ก็จะไม่มีปัญหา แต่ขณะนี้จากการตั้งงบฯ ชดเชยน้อยกว่าเงินที่ใช้จ่ายไป ทำให้เงินที่ใช้จ่ายล่วงหน้าเกิดการสะสมเรื่อยๆ ทำให้รายจ่ายโป่งขึ้นมา

 

นายอาคม กล่าวอีกว่า ในส่วนของโครงการชดเชยรายได้เกษตรกร เช่น โครงการประกันรายได้ข้าวกระทรวงการคลังอยากให้มีการนำไปตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำ แต่เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดว่าในการตั้งงบประมาณจะต้องมีรายละเอียด

 

และความชัดเจนในการจ่ายชดเชยให้เกษตร เช่น เกณฑ์การจ่ายเงิน เป็นต้น ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงพาณิชย์ยังไม่มีการเสนอรายละเอียดมา จึงเข้าใจว่าอาจจะมีการขอใช้งบตามมาตรา 28 เหมือนเดิม

 

แต่ทั้งนี้กระทรวงการคลังจะเข้าไปดูในเรื่องของหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยให้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งยังต้องดูราคาสินค้าในตลาด ณ ขณะนั้นด้วย ซึ่งขณะนี้ราคาสินค้าเกษตรขึ้นเกือบทุกตัว ยกเว้นข้าวที่ราคายังไม่ปรับขึ้น

 

ก็จะต้องไปดูเรื่องของซัพพลาย หรือ จำกัดปริมาณการผลิต ไม่เช่นนั้นข้าวก็จะล้นตลาดไปเรื่อย ส่งผลต่อราคาให้ตกลงตลอด ซึ่งมีกลไกของ นบข. ที่จะเข้าไปดูแลในเรื่องนี้อยู่แล้ว

 

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึง กรณีสื่อออนไลน์แห่งหนึ่ง ออกมาระบุว่า รัฐบาลมีภาระหนี้ที่ไม่จัดอยู่ในหนี้สาธารณะและรอการชดใช้อยู่ถึง 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นการซุกหนี้นั้น โดยการใช้จ่ายเงินดังกล่าวเกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเข้ามาช่วยเหลือประชาชน

 

แม้ที่ผ่านมาไม่เคยมีการบรรจุไว้ในความเสี่ยงด้านการคลัง แต่กระทรวงการคลังได้มีการทำรวบรวมเม็ดเงินที่มีการใช้จ่ายไว้ และมีการกำหนดกรอบวงเงินการใช้จ่ายไว้อย่างชัดเจน ในมาตรา 28 ภายใต้ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังปี 2561 ที่กำหนดการใช้จ่ายเงินต้องไม่เกิน 30% ของงบประมาณประจำปี จึงไม่ใช่การซุกหนี้

 

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภาระรายจ่ายดังกล่าว ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ เนื่องจากเป็นการใช้จ่ายตามนโยบายรัฐบาล โดยให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะแบงก์รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายไปก่อน จากนั้น รัฐบาลจะตั้งเป็นงบประมาณชดเชยให้ในแต่ละปี จึงถือเป็นรายจ่ายของรัฐบาล ไม่ได้ถูกนับเป็นหนี้ เช่น โครงการประกันรายได้พืชผลการเกษตร โครงการลดภาระต่างๆให้แก่ประชาชน เช่น ลดดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น