สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รายงานมูลค่าการออกตราสารหนี้ด้านความยั่งยืน (ESG Bond) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จาก 10,050 ล้านบาทในปี 2561 ซึ่งเป็นปีแรกที่มีหลักเกณฑ์การออกและเสนอขาย ESG Bond เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดมาที่ 173,800 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2564 ส่งผลให้มียอดคงค้างทั้งสิ้น 299,296 ล้านบาท
นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL เปิดเผยว่า แนวโน้มการออก ESG Bond ในอนาคตคาดว่า ยังมีลูกค้าธุรกิจที่สนใจเสนอขาย Green Bond รวมกว่า 20,000 ล้านบาท ทั้งจากลูกค้าธุรกิจหลายรายที่เคยออก Green Bond ไปแล้วเมื่อเริ่มมีโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และลูกค้ารายอื่นๆที่สนใจออก Green Bond เป็นครั้งแรก
ขณะที่ธนาคารเองมีบริการสินเชื่อบัวหลวงกรีน (Bualuang Green) คิดดอกเบี้ย MLR-1% ตลอดอายุสัญญา ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.25% ต่อปี (MLR ณ วันที่ 11 เม.ย65 = 5.25%) กำหนดระยะเวลาปล่อยกู้สูงสุดถึง 8 ปี วงเงินกู้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม สำหรับการลงทุนทางธุรกิจหรือการบริหารจัดการพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
“สินเชื่อบัวหลวงกรีน เริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2551 และทบทวนขอบเขตของสินเชื่อให้ทันสมัย พร้อมกับปรับปรุงเงื่อนไขสินเชื่อให้จูงใจผู้ประกอบการมากขึ้น เพราะเราเชื่อมั่นว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีกับทั้งตัวธุรกิจ ลดต้นทุนด้านพลังงาน ลดก๊าซเรือนกระจกW
ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้สอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อผ่านโครงการนี้ไว้ถึง 2,000 ล้านบาท ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567
อย่างไรก็ตาม ปีที่ผ่านมา ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อเพื่อธุรกิจผลิตและส่งไฟฟ้าพลังงานทดแทนรวมกว่า 107,653 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการให้สินเชื่อแก่โรงงานไฟฟ้าในกลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลักมากกว่า 50% ของสินเชื่อพลังงานทดแทน รองลงมาคือกลุ่มพลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล
ธนาคารยังสนับสนุนการระดมทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทเอกชนชั้นนำในไทย ผ่านการเป็นผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้ด้าน ESG ปี 2564 ภาคเอกชนระดมทุนผ่าน ESG bond รวมถึง 56,700 ล้านบาท ซึ่งธนาคารเป็นผู้จัดการจำหน่ายถึง 37,200 ล้านบาท หรือ 66% ของมูลค่าตราสารหนี้ด้าน ESG ทั้งหมดในตลาดทุนไทย
นายเสถียร เลี้ยววาริณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคาร ไทยพาณิชย์ หรือ SCB กล่าวว่า ปี 2565 ธนาคารยกระดับการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบตามหลักการ อีเควเตอร์(Equator Principles: EP) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่องค์กรและสถาบันการเงินทั่วโลกให้การยอมรับ โดยไทยพาณิชย์เป็นธนาคารแห่งแรกในไทยที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคม EP เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา
นอกจากการเตรียมวงเงินไว้ราว 20,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว/ ESG สำหรับลูกค้าธุรกิจทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมไปถึงลูกค้าบุคคลแล้ว ยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์กองทุน ESG เป็นทางเลือกในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนให้กับลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้การสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Finance เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของธนาคาร ซึ่งได้มีการกำหนดเป้าหมาย 3 ปี (2564-2566) ไว้ 3 เรื่อง ได้แก่
สำหรับปี 2564 ธนาคารสนับสนุนการเงินที่ยั่งยืน เพื่อบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีวงเงินรวมกว่า 40,150 ล้านบาท แบ่งเป็น
ธนาคารยังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยปี 2564 ธนาคารมีผลิตภัณฑ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืนให้ลูกค้าเลือกถึง 79 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ(AUM) รวม 39,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.3% ของ AUM ทั้งหมด
“ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารพบว่า โอกาสเติบโตของสินเชื่อสีเขียว/ESG มีมากกว่าที่คาดไว้ เห็นได้จากผลการดำเนินงานปี 2564 ที่ดีกว่าเป้าหมายมากและใกล้จะบรรลุเป้าหมาย 3 ปีที่เป็นหมุดหมายหลักด้วย ซึ่งธนาคารเตรียมทบทวนเป้าหมายและแผนงานต่างๆ เพื่อสนับสนุนลูกค้าในการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสังคมคาร์บอนต่ำ”นายเสถียร กล่าว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,778 วันที่ 28 - 30 เมษายน พ.ศ. 2565