จากกระแสในโซเชียลมีเดียกรณีร้านค้าหลายแห่งงดรับการจ่ายเงินผ่านโครงการคนละครึ่ง รวมถึงระบบการจ่ายเงินผ่าน e-wallet หรือกระเป๋าตังค์ของรัฐ เพราะถูกเรียกเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดาย้อนหลังจำนวนมาก ภายใต้บรรยากาศเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ค่าครองชีพพุ่งสูง แต่มาตรการช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกลับมีการขูดรีดภาษีเป็นการซ้ำเติมประชาชน
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการของรัฐหรือไม่ หากผู้ประกอบการมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินมายื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ทั้งนี้ การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นการประเมินตนเองของผู้ประกอบการ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถนำเอกสารหลักฐานต้นทุนในการประกอบกิจการมาหักค่าใช้จ่ายจากยอดขายเพื่อคำนวณภาษีเงินได้ที่จะต้องชำระ หรือหากไม่มีการเก็บเอกสารหลักฐานต้นทุนก็สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามที่กฎหมายกำหนดได้
“ภาระภาษีของผู้ประกอบการขึ้นอยู่กับรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือในอัตราเหมาตามที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งค่าลดหย่อนต่างๆ หากรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนดังกล่าวไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ประกอบการจะไม่มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะต้องชำระแต่อย่างใด”นายพรชัยกล่ว
สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือบริการ รวมทั้งนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กรมสรรพากรตามที่กฎหมายกำหนดไว้อีกประการหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้พัฒนากระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการจดทะเบียน ยื่นแบบภาษี ชำระภาษี และคืนภาษี ทุกขั้นตอนผ่านระบบ Tax from Home ซึ่งเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ผ่านทางเว็บไซต์กรมสรรพากร
ทั้งนี้ รัฐบาลดำเนินโครงการคนละครึ่งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน และส่งผ่านกำลังซื้อไปสู่ผู้ประกอบการให้มีรายได้เพิ่ม เมื่อผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วและอยู่ในเกณฑ์เสียภาษีตามกฎหมายก็สามารถไปชำระภาษีได้
ทั้งนี้ ฐานข้อมูลโครงการคนละครึ่งไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกับกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด ซึ่งสำหรับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ได้สิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2565
ที่ผ่านมา มีผู้ใช้สิทธิ 26.27 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม 61,835.1 ล้านบาท และมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ คนละครึ่งเฟส4 จำนวน 1.36 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ 2.98 หมื่นราย
แสดงให้เห็นถึง ความร่วมมือของประชาชนและผู้ประกอบการที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการบริโภคในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้า การผลิต และการจ้างงานที่เกี่ยวเนื่องตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องต่อไป