ดาวโจนส์บวกเล็กน้อย Nasdaq ร่วงกว่า 2% หวั่นเศรษฐกิจถดถอย

24 พ.ค. 2565 | 23:28 น.
อัปเดตล่าสุด :25 พ.ค. 2565 | 06:36 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร (24 พ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดร่วงลงหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และบริษัทจดทะเบียนบางแห่งได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 31,928.62 จุด เพิ่มขึ้น 48.38 จุด หรือ +0.15%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,941.48 จุด ลดลง 32.27 จุด หรือ -0.81% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,264.45 จุด ร่วงลง 270.83 จุด หรือ -2.35%

 

นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และบริษัทจดทะเบียนบางแห่งได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการแล้ว นักลงทุนยังกังวลว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อนั้น อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย


ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 16.6% สู่ระดับ 591,000 ยูนิตในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 750,000 ยูนิต จากระดับ 709,000 ยูนิตในเดือนมี.ค.

 

ทางด้านเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ค.ของสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 57.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 59.2 ในเดือนเม.ย. และดัชนี PMI ภาคบริการดิ่งลงสู่ระดับ 53.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน จากระดับ 55.6 ในเดือนเม.ย.


ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากการที่บริษัทสแนป ซึ่งเป็นเจ้าของแอปพลิเคชันสแนปแชท (Snapchat) ระบุว่า บริษัทอาจพลาดเป้าหมายทั้งในด้านรายได้และกำไรในไตรมาสปัจจุบัน พร้อมกับเตือนว่าทางบริษัทอาจชะลอการจ้างงานไปจนถึงสิ้นปีนี้เพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย

ข่าวดังกล่าวได้ฉุดราคาหุ้นสแนปและหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่นๆร่วงลงอย่างรุนแรง โดยหุ้นสแนปทรุดตัวลง 43.08% หุ้นพินเทอเรสต์ ดิ่งลง 23.64% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ร่วงลง 7.62% หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 5.52% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 4.95% หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 3.21%


หุ้นอเบอร์ครอมบี แอนด์ ฟิทช์ (Abercrombie & Fitch) ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 28.58% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 27 เซนต์ ซึ่งสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 8 เซนต์ ขณะเดียวกันบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของรายได้ในปีงบการเงิน 2565 ลงเหลือ 2% จากเดิม 4%


นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า การที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยนักลงทุนจับตารายงานการประชุมเดือนพ.ค.ของเฟดในวันพุธนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อหาทิศทางอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ของเฟด

ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนให้น้ำหนัก 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนมิ.ย.และก.ค. หลังจากที่เฟดเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 20 ปี