บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS รายงานผลดำเนินงานรอบปี 64/65 (สิ้นสุด 31 มี.ค.65) มีกำไรสุทธิ 3,825.58 ล้านบาท ลดลง 16.40% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 4,576.27 ล้านบาท
บริษัทมีรายได้รวม 31,195 ล้านบาท ลดลง 26% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการลดลงของ
(1) รายได้การให้บริการรับเหมา จำนวน 1,713 ล้านบาท จากการลดลงของรายได้งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสาย สีชมพูและสีเหลือง รวมถึงรายได้จากการให้บริการติดตั้งงานระบบและการจัดหารถไฟฟ้าขบวนใหม่สำหรับโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียวเหนือที่ลดลง เนื่องจากอยู่ช่วงท้ายของการก่อสร้าง
(2) กำไรจากการขายที่ดิน จำนวน 1,497 ล้านบาท แต่รายได้บางส่วนถูกชดเชยด้วย
(3) รายได้จากการให้บริการและการขายที่เพิ่มขึ้น จำนวน 2,744 ล้านบาท จากการควบรวมผลการดำเนินงาน Fanslink โดยวีจีไอ ตั้งแต่เดือน ส.ค.64 และ
(4) รายได้ดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้น จำนวน 522 ล้านบาท
ส่วนต้นทุนรวมและค่าใช้จ่าย มีจำนวน 22,748 ล้านบาท ลดลง 26.1% มาจากการลดลงของต้นทุนงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง และการให้บริการติดตั้งงานระบบและการจัดหารถไฟฟ้าขบวนใหม่สำหรับโครงการส่วนต่อขยายสายสีเขียว หักกลบบางส่วนด้วยการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการให้บริการและการขาย จากการควบรวมผลดำเนินงาน Fanslink
นอกจากนี้ได้รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วม จำนวน 131 ล้านบาท ลดลง จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุน จำนวน 1,664 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนแบ่งขาดทุนเป็นส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในยูซิตี้ MACOและการเปลี่ยนแปลงจากส่วนแบ่งกำไร เป็นขาดทุนในการลงทุนใน Kerry รวมถึงในปีนี้ไม่มีบันทึกกำไรพิเศษจากการ IPO ของ Kerryโดยวีจีไอ และการบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนใน BTSGIF เมื่อเทียบกับส่วนแบ่งกำไรจำกปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดโควิด-19
ที่ประชุมอนุมัติการจ่ายปันผลสำหรับรอบปีบัญชี 64/65 อัตรา 0.31 บาท/หุ้น โดยมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลแล้ว อัตรา 0.15 บาท/หุ้น คงเหลือจ่ายปันผลงวดสุดท้ายอัตรา 0.16 บาท/หุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 3 ส.ค. 65 และกำหนดจ่ายในวันที่ 23 ส.ค.65
อนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอํานาจทั่วไป (General Mandate) จํานวนไม่เกิน 2,600 ล้านบาท (หรือเท่ากับประมาณ 4.94%ของทุนจดทะเบียนชําระแล้วของบริษัทฯ) โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจํากัด (Private Placement) เป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้แก่บริษัทฯ หากมีผู้ลงทุนที่เหมาะสม
อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ จํานวน 2,844 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจํานวน 71,193,673,956.00 บาท เป็นจํานวน 74,037,673,956.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจํานวน 711 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เพื่อรองรับ (ก) การใช้สิทธิตามใบสําคัญแสดงสิทธิ BTS-WG และ (ข) การเสนอขายต่อบุคคลในวงจํากัด (Private Placement) ตามแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอํานาจทั่วไป (GeneralMandate)
อนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทฯ วงเงินรวมทั้งสิ้น ณ ขณะใดขณะหนึ่ง (Revolving Basis) ไม่เกิน 90,000 ล้านบาท หรือสกุลเงินอื่นในจํานวนเทียบเท่า (ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการเพิ่มวงเงินการออกหุ้นกู้อีกจํานวน 30,000 ล้านบาท จากวงเงินเดิมที่ได้อนุมัติไว้จํานวน 60,000 ล้านบาท) เพื่อเป็นการสนับสนุนการลงทุน การขยายธุรกิจ การดําเนินงานของบริษัทฯ เป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการชําระหนี้เพื่อใช้ในการชําระหนี้และไถ่ถอนหุ้นกู้เดิมและเป็นเงินทุนหมุนเวียน