ผู้ว่าธปท.แนะสร้างภูมิคุ้มกันประเทศไทย 5ด้านเป็นกันชนรองรับShockในอนาคต

13 มิ.ย. 2565 | 08:22 น.
อัปเดตล่าสุด :13 มิ.ย. 2565 | 17:03 น.

ธปท. ลั่นขึ้นดอกเบี้ยนโยบายช้าไม่ดี -โอกาสทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจสะดุด หลังความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นชัด ดันครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยแบกรับภาระค่าใช้จ่ายหนัก

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ  ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวปาฐกถาพิเศษเปิดงานสัมมนา "สร้างภูมิคุ้มกันประเทศไทย" ในโอกาสที่สำนักข่าวไทยพับลิก้าก้าวสู่ปีที่ 12 โดยระบุว่า ระยะหลังประเทศไทยและโลกเผชิญ Shockที่ไม่คาดคิดหลากหลายประเภท

ผู้ว่าธปท.แนะสร้างภูมิคุ้มกันประเทศไทย 5ด้านเป็นกันชนรองรับShockในอนาคต

โดยเฉพาะเมืองไทย  ก่อนจะเกิดการระบาดของโควิด-19  นั้น ประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)อยู่ที่ 3% แต่หลังเผชิญกับโควิด-19 จีดีพีติดลบ 6.1%  ถัดมาเมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนได้ส่งผลอัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นจากราคาพลังงาน

ขณะที่แนวโน้มShockด้านภูมิรัฐศาวตร์มีโอกาสจะสูงขึ้น จึงต้องสร้างภูมิคุ้มกันหรือกันชนรองรับ Shockต่างๆที่จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกันในแง่เศรษฐกิจไทยการสร้างภูมิคุ้มกันอย่างน้อย 5ด้าน ได้แก่  

 

1.เสถียรภาพด้านต่างประเทศ  ปัจจุบันภาระหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก  ขณะที่ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศแข็งแกร่งสูงกว่าภาระหนี้ต่างประเทศ 2-3เท่า เช่นเดียวกับเงินเงินทุนเคลื่อนย้าย ที่ไม่น่าห่วงเพราะตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันยังมีเงินทุนไหลเข้าสุทธิประมาณ 5,000ล้านบาท

2.เสถียภาพด้านการคลัง  ที่ผ่านมาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิมอยู่ที่ 46% แต่ความจำเป็นในการดำเนินนโยบายด้านการคลังเป็นแนวทางเดียวกับต่างประเทศ  โดยเฉพาะการเผชิญกับโควิด-19 แต่การอัดฉีดมาตรการภาครัฐทำให้เศรษฐกิจไทยติดลบ 6.1% ในปีก่อนหน้า 

 

แต่หากไม่มีมาตรการด้านการคลังอัดฉีดจีดีพีไทยอาจจะติบลบถึง 9%  หรือปีที่ผ่านมาจีดีพีอาจติดลบ 4%จากประมาณการเดิมจะเติบโต 1.5% ถ้าไม่มีมาตรการรัฐหรือมาตรการด้านการคลังเข้ามาช่วยเหลือ  เพราะฉะนั้นความจำเป็นต้องใช้มาตรการการคลังแม้ทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้น  แต่เสถียรภาพด้านการคลังไม่ได้เป็นปัญหา    เห็นได้จากอัตราผลตอบแทนบัตรรัฐบาลอายุ 10ปีอยู่ที่ 2.8% ซึ่งเป็นอัตราต่ำสุดเทียบประเทศเพื่อนบ้าน  ซึ่งหากเสียเสถียรภาพดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาวจะสูงกว่านี้

 

3.เสถียรภาพด้านการเงิน หากพิจารณาจากเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ไม่ว่ามิติ เรื่องเงินทุนสำรอง  , สภาพคล่อง, กันสำรองหนี้ต่อเอ็นพีแลยังอยู่ในระดับสูง  แต่ยอมรับว่าบางเซ็กเตอร์อ่อนแอ โดยเฉพาะภาคครัวเรือน  เห็นได้จากตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มมานานแล้วและเร่งขึ้นในช่วงโควิด-19  และปีนี้หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงที่ 90%ของจีดีพี แต่ภาพรวมงบดุลภาคธุรกิจหรือรายใหญ่ยังแข็งแรงภาระหนี้ค่อนข้างต่ำ

 

4.เสถียรภาพด้านราคา  หรือ “อัตราเงินเฟ้อ” ธปท.ไม่อยากเห็นอัตราเงินเฟ้อสูงหรือผันผวน แต่ล่าสุดธปท.ได้ปรับประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้เป็น 6.2% จากเดิม4.9% โดยมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะแตะระดับสูงสุดในไตรมาส3ของปีนี้ก่อนจะทยอยปรับลดกลับสู่กรอบเป้าหมายในปี2566  

 

ผู้ว่าธปท.กล่าวว่า  ล่าสุดสเตตเม้นของกนง.ต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นโจทย์ด้านนโยบายการเงินที่ยังคงต้องทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง(Take off) อาจจะไม่เร็ว แต่ถ้าไม่ได้ดูแลเรื่องเงินเฟ้อโอกาสทำให้การฟื้นตัวอาจสะดุด    ดังนั้นความจำเป็นที่จะต้องปรับโหมดเข้าสู่ใกล้เคียงภาวะปกติมากขึ้น ทั้งสร้างภูมิคุ้มกัน/กันชนไว้รองรับช็อคต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ประกอบการเริ่มเห็นการส่งสัญญาณการส่งผ่านเงินเฟ้อในวงกว้างขึ้น

 

“ เงินเฟ้อสำคัญ 2 เหตุผล คือ เศรษฐกิจไทยพึ่งกลไกตลาด ต้องดูเรื่องราคาไม่ให้ผันผวนหรือมีโอกาสผิดเพี้ยนและธปท.ใส่ใจเรื่องปากท้องเรื่องความเป็นอยู่ของคนโดยรวม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยจะถูกกระทบมากที่สุด เห็นได้จากปลายปีก่อนดอกเบี้ยเงินกู้ภาคธุรกิจอยู่ที่ 0.2%(คำนวณจากต้นทุนกู้ 1.4% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 1.2%)  แต่ตอนนี้ดอกเบี้ยการกู้ยืมเพิ่ม 4.9%หรือเกือบ 5%(คำนวณจากต้นทุนเงินกู้ที่ 1.3% อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์  6.2%) ดังนั้น แม้การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะกระทบต้นทุนธุรกิจและครัวเรือนบ้างแต่อัตราเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มกลับส่งผลกระทบเพิ่มขึ้นประมาณ 7เท่า สิ่งที่แย่สุดสำหรับครับเรือนที่มีรายได้น้อยหลัก เพราะครัวเรือนจะบริโภคอาหาร  เครื่องดื่ม  พลังงานเป็นหมวดที่เงินเฟ้อสูงที่สุด”

ผู้ว่าธปท.แนะสร้างภูมิคุ้มกันประเทศไทย 5ด้านเป็นกันชนรองรับShockในอนาคต

ผู้ว่ากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ธนาคารกลางมีหน้าที่หลักในการทำให้คาดการณ์เงินเฟ้อระยะกลางไม่หลุด หรือต้องไม่ทำให้เครื่องยนต์หลักของเงินเฟ้อติดหรือส่งผลให้เงินฟื้อพื้นฐานสูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นมีนัยโดยปีนี้น่าจะเห็นตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 2%จากปีก่อนอยู่ที่ 0.2% 

ผู้ว่าธปท.แนะสร้างภูมิคุ้มกันประเทศไทย 5ด้านเป็นกันชนรองรับShockในอนาคต

แต่ในบริบทของไทยการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายนั้นไม่ต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเฟด แต่โดยรวมการปรับขึ้นดอกเบึ้ยนโยบายช้าเกินไปไม่ดี  เพราะโอกาสต้องขึ้นมากขึ้นจะตามมา  ฉะนั้นแนวทางปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่ช้าเกินไปเพื่อไม่ต้องขึ้นดอกเบี้ยแรงเกินไป 

5.กลไกหรือกระบวนการทำนโยบายที่ดี และมั่นใจว่านโยบายที่ออกมานั้นเหมาะและสร้างสมดุลกับบริบทต่างๆที่เปลี่ยนแปลง  ซึ่งองค์ประกอบการดำเนินนโยบายที่ดี  ได้แก่ 1. กระบวนการถูกขับเคลื่อนโดยข้อมูลและประเมินผลภายหลังออกนโยบายแล้ว

 

2.นโยบายต้องถูกต้องมากกว่าถูกใจ เพราะเป็นการทำเพื่อส่วนรวมหรือภาพรวม ไม่ใช่ดูเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และ 3.นโยบายต้องมีความโปร่งใส่ ที่มาของนโยบายชัดเจนและสามารถอธิบายได้เพื่อผลลัพธ์ที่จะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมของประเทศเป็นหลัก