นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แม้ขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัว แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดยังมีการแพร่ระบาด ขณะเดียวกันยังเผชิญปัญหาราคาสินค้าและน้ำมันราคาแพง กระทบต่อกำลังซื้อ ทำให้ขณะนี้บรรยากาศในการค้าขายเงียบเหงา
ซึ่งผู้ค้าต่างบอกว่าหากมีมาตรการคนละครึ่งมา ก็จะช่วยทำให้บรรยากาศการค้าขายกลับมาคึกคักได้ ดังนั้นรัฐบาลจึงจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชน ผ่าน โครงการ “คนละครึ่งเฟส5” การเติมเงินเข้า “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” และ “กลุ่มเปราะบาง”
สำหรับวงเงินในโครงการ "คนละครึ่งเฟส5" ที่ 800 บาทต่อคนตลอดระยะเวลาโครงการ 2 เดือน คือ ช่วงเดือนกันยายน - ตุลาคม 65 ซึ่งต่างจากการดำเนินโครงการในช่วงแรกที่ให้วงเงินต่อคนสูงนั้น เนื่องจากพิจารณาตามความจำเป็นและสถานการณ์
เพราะช่วงก่อนที่ดำเนินโครงการภาคธุรกิจปิดดำเนินการ คนตกงาน ขาดรายได้ แต่ขณะนี้หลายธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินงานได้ตามปกติ รายได้และการจ้างงานก็กลับมาตามลำดับ ทำให้ในการดำเนินการ “คนละครึ่ง” รอบนี้จึงปรับลดวงเงินเหลือ 800 บาทต่อคน
“วงเงินที่ใช้ใน 3 โครงการ คาดว่าจะเป็นรอบสุดท้ายของการใช้เงินกู้เพื่อแก้ปัญหาโควิด ที่ขณะนี้การแพร่ระบาดยังมีต่อเนื่อง และกำลังซื้อก็ลดลงจากราคาสินค้าแพงขึ้น ผู้ค้าก็บ่นว่าซบเซา แต่หากมีคนละครึ่งก็จะช่วยให้บรรยากาศกลับมาคึกคักได้” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวว่า สำหรับวงเงินในการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศนั้น จะใช้งบจาก พ.ร.ก. กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท จำนวน 27,427 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจประมาณ 4.86 หมื่นล้านบาท ช่วยสนับสนุนจีดีพีได้ประมาณ 0.13% ทั้งนี้ เมื่อเราใช้เงินจากพ.ร.ก.เงินกู้จำนวนดังกล่าวแล้ว จะเหลือวงเงินในวงเงินกู้อีกประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท