Krungthai COMPASS ธนาคาร กรุงไทยระบุว่า รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวจะเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยไปยังจีน เนื่องจาก
สินค้าที่เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการส่งออกทางราง โดยพิจารณาจาก
สินค้าเกษตรและอาหารของไทยที่จะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มแรกๆ ได้แก่ กลุ่มผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง โดยประเมินโอกาสที่จะส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มนี้ เพิ่มเติมผ่านช่องทางรถไฟความเร็วสูงฯ โดยคาดว่า ความสามารถในการบรรทุกสินค้าของรถไฟความเร็วสูงในระยะแรก (ปี 2022-2025) จะอยู่ที่ปีละประมาณ 2.2 ล้านตัน และให้ความสามารถในการส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่ม หรือส่วนแบ่งตลาดด้านปริมาณส่งออกเท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 3 ปีย้อนหลัง (2019-2021)ซึ่งเท่ากับ 3.0% ของสินค้าทั้งหมดที่ไทยส่งออกไปจีน
ดังนั้น จึงคาดว่าไทยจะมีโอกาสส่งออกสินค้าเพิ่มเติมผ่านช่องทางรถไฟความเร็วสูงสายนี้ได้ประมาณ 7 หมื่นตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี หรือ 4,329 ล้านบาท ซึ่งหากคิดเป็นอัตราการเติบโต จะทำให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจากอัตราการเติบโตปกติอีกประมาณ 2%
ส่วนในระยะต่อไป (ปี 2025-2027) หากสมมติฐานให้ความสามารถในการส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มทำได้ในสัดส่วนเดิม แต่ Capacity ในการขนส่งสินค้าของรถไฟความเร็วสูงสายนี้เพิ่มขึ้นจากจำนวนเที่ยวในการขนส่งที่ปรับเพิ่มเป็น 14 เที่ยวต่อวัน ซึ่งจะทำให้รถไฟสายนี้สามารถขนส่งสินค้าโดยรวมได้เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 6.1 ล้านตัน
จะทำให้ไทยสามารถส่งออกสินค้าไปจีนได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 2 แสนตันต่อปี (จากสินค้าทั้ง 2 กลุ่ม) คิดเป็นมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 11,955 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.3 บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการขยายตลาดนี้เพิ่มเติม อาทิ ความคุ้มค่าในการปรับเปลี่ยนการขนส่งมาเป็นทางราง และการเชื่อมต่อการขนส่งจากทางรางสู่ผู้บริโภคใน สปป.ลาว รวมทั้งอุปสรรคด้านกฎระเบียบและข้อบังคับระหว่างประเทศต่างๆ