จับตาเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลบาทอ่อนยวบ ดันเงินเฟ้อพุ่ง

18 ก.ย. 2565 | 13:11 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.ย. 2565 | 20:33 น.

สัญญาณระลอกใหม่ จับตาเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75-1% "อนุสรณ์ ธรรมใจ"คาดกระทบเงินบาทอ่อนยวบ กดดันเงินเฟ้อสูงต่อเนื่อง หากแบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยตาม หวั่นกระทบประชาชนและธุรกิจขนาดย่อมและเล็ก

รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  ในวันที่ 20-21 กันยายนนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75-1% เงินบาทอ่อนค่า น่าทะลุ 37.30/50 บาทได้ กดดันเงินเฟ้อสูงต่อเนื่อง

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน "เงินบาทอ่อนค่า" แล้ว เกือบ 10% อ่อนค่าสูงสุดในรอบ 16 ปี เงินทุนไหลออกจากการเร่งนำเข้าทองคำจากการที่ราคาทองคำอ่อนตัวลงช่วงก่อนหน้าเป็นปัจจัยหนึ่งในการกดดันเงินบาท นักลงทุนต่างชาติยังทะยอยเทขายสินทรัพย์ทางการเงินของไทยทั้งหุ้นและตราสารหนี้

 

จับตาเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลบาทอ่อนยวบ ดันเงินเฟ้อพุ่ง

 

การเทขายสินทรัพย์ทางการเงินของนักลงทุนต่างชาติอาจทำให้ตลาดหุ้นไทยยังปรับฐานลงไปอีกระยะหนึ่ง เงินบาทและเงินหยวนนั้นมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) เป็นบวก คือ เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันและมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง และ เมื่อเงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างมากไปทดสอบแนวต้านทางด้านจิตวิทยาที่ 7 หยวนต่อดอลลาร์ย่อมส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน  สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เงินหยวนกับเงินบาทนั้นอยู่ที่ 0.60-0.70 โดยประมาณ เงินบาทและเงินหยวนจึงอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวกัน

 

หากแบงก์ชาติปรับขึ้นดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯในวันที่ 28 กันยายนนี้ อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและธุรกิจขนาดย่อมและเล็กเพิ่มเติมจากต้นทุนทางการเงิน ภาระหนี้ต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้น ภาระหนี้ของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น ความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลงสำหรับกิจการที่ยอดขายยังไม่ฟื้นตัว การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยอีก 0.25% ในวันที่ 28 ก.ย. และ ในวันที่ 30 พ.ย. จะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมาอยู่ที่ 1.25%

 

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดปลายปีจะอยู่ที่ระดับ 4% ช่องว่างของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯและไทยถ่างออกกว้างประมาณ 2.75% ย่อมกระตุ้นให้เงินทุนเก็งกำไรระยะสั้นไหลออกบ้างแต่ไม่ควรวิตกกังวลและไม่ควรนำมาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของนโยบายการเงิน ดอกเบี้ยนโยบายของไทยในระดับ 1.25% จะมีผลต่อการจัดการเงินเฟ้อได้ไม่มาก และ จะไม่ช่วยเปลี่ยนทิศทางของการอ่อนค่าของเงินบาทแต่อย่างใด 

 

หากแบงก์ชาติไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงก์ชาติตามที่มีคาดการณ์กันไว้จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้อีก เพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อแต่ในขณะเดียวกันจะช่วยกระตุ้นการส่งออก และ เป็นผลบวกต่อภาคการท่องเที่ยวจากต่างประเทศอย่างมากในช่วงเวลาที่มีการเปิดประเทศเต็มที่

 

โดยคาดว่าอาจจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเกือบ 10 ล้านคนในปีนี้ กระแสเงินไหลเข้าจากภาคท่องเที่ยว การเกินดุลการค้า เกินดุลบัญชีเดินสะพัด และ เม็ดลงทุนไหลเข้าในตลาดการเงินจะทำให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าได้ในช่วงปลายปีและต้นปีหน้าที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์

 

นอกจากนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยจะพลิกกลับมาเกินดุล คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2566 น่าจะเป็นเกินดุลได้ในระดับ 1.5-1.8% ต่อจีดีพี กลไกดอกเบี้ยมีผลน้อยมากต่อการพลิกกลับมาแข็งค่าของเงินบาท และ การจัดการกับเงินเฟ้อ การไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นในตลาดการเงินและเงินลงทุนต่างชาติระยะยาวยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศอันเป็นผลจากการตัดสินเรื่องวาระ 8 ปีของนายกรัฐมนตรีของศาลรัฐธรรมนูญ

 

เพราะการตัดสินใจดังกล่าวจะสะท้อนว่า ประเทศไทยมีระบบนิติรัฐนิติธรรมหรือไม่ มี Rule of Law หรือไม่ Rule of Law เป็น Soft Infrastructure ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม เป็นประเทศที่ปกครองโดยกฎหมาย เป็นความเข้มแข็งในเชิงสถาบันที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจภาคการลงทุนขับเคลื่อนได้ บางครั้งมากกว่า โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจทางกายภาพ (Hard Infrastructure) ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลลงทุน

 

อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสสามจะกลับมาขยายตัวเป็นบวก สิ้นสุดการเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค การจ้างงานยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง อัตราการว่างงานต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี ค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้น 0.5% แม้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 8% ก็ตาม ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ก็ปรับลดลงต่อเนื่อง


 ยอดขายปลีกและผลการดำเนินงานของกิจการต่างๆอยู่ในเกณฑ์ดี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจอยู่ในเกณฑ์สูง อัตราการใช้กำลังการผลิตส่วนเกินยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง  การแบ่งแยกอุปทานโลก (Global Supply Chain Decoupling) ยังไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อภาคการผลิตในสหรัฐอเมริกา แนวโน้มเงินดอลลาร์จึงแข็งค่าได้อีกเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักและเงินบาท  

 

เมื่อพิจารณาตัวเลขทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น รายได้นอกภาคเกษตร (Nonfarm payrolls) ดัชนีอุตสาหกรรม (Industrial production) รายได้แท้จริงส่วนบุคคล (Real personal income) และ Real manufacturing and trade sales แล้วพบว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจต่ำมาก 


อัตราเฟ้อสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายระยะยาวที่ 2% ฉะนั้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการแลมีผลในการชะลอเศรษฐกิจระดับหนึ่ง ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าที่สุดในรอบ 37 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯแตะระดับ 1.135 ดอลลาร์  ดัชนีดอลลาร์ที่คำนวณเทียบค่ากับเงินสกุลหลักก็แตะระดับสูงสุดในรอบสองทศวรรษที่ระดับ 110.79 ช่วงต้นเดือนกันยายน ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 15% จากดัชนีดอลลาร์ในช่วงต้นปี การอ่อนตัวของเงินยูโรส่งผลต่อดัชนีดอลลาร์ หรือ US Dollar Index เพราะมีสัดส่วนในการคำนวณมากกว่า 57%

 

ส่วน ดัชนี Trade-Weighted US Dollar Index นั้นจะคำนวณโดยรวมเอาคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ 26 ประเทศ โดยเงินบาทมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.096-1.408%   เงินเยนอ่อนค่ามากที่สุดในรอบเกือบ 25 ปีและอ่อนค่าลงมามากกว่า 20% นับตั้งแต่ต้นปี เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 142-143 เยนต่อดอลลาร์ และ ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังคงไม่ลดการผ่อนคลายทางการเงินหรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่อย่างใด

 
โดยธนาคารกลางญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและประคับคองการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในที่ยังอ่อนแอ ส่วนเงินยูโรนั้นอ่อนค่าลงอย่างมากจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจยุโรป เงินหยวนอ่อนค่าลงจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงจากการล็อกดาวน์เป็นระยะๆ มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯจะดึงอัตราเงินเฟ้อในปี พ.ศ. 2565 (ค.ศ. 2022) สู่ระดับ 5.2% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานดัชนีสะท้อนอุปสงค์มวลรวมยังคงขยับตัวต่อเนื่อง

 

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นไปจนถึงกลางปีหน้าและทรงตัวในระดับ 4.50% ไปอีกอย่างน้อย 2-3 ไตรมาสแล้วอัตราดอกเบี้ยอาจปรับลดลงได้ วงจรขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯอาจยาวนานกว่าเดิมเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยดึงอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายระยะยาวให้มาอยู่ระดับ 2%          
 

การปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV อีก 1 บาทเป็น 16.59 บาทต่อกิโลกรัมจะทำให้ต้นทุนการผลิตและต้นทุนภาคขนส่ง ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อยังไม่สามารถลดลงต่ำกว่า 6% ได้ในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ 

 

การประกาศตรึงราคาน้ำมันดีเซลต่อไปอีกสองเดือนและยืดเวลาการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันช่วยบรรเทาเงินเฟ้อได้เพียงเล็กน้อย แต่จะทำให้การขาดทุนของกองทุนน้ำมันกลายเป็นภาระทางการคลังและหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีกจากนโยบายอุดหนุนราคา และ สร้างความยุ่งยากทางการคลังสำหรับรัฐบาลชุดต่อไป และ รัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเหลือเม็ดเงินงบประมาณน้อยลงมากในการดูแลปัญหาต่างๆหรือพัฒนาประเทศด้านอื่นๆ

 

รัฐบาลหน้าจะเหลืองบประมาณในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่น้อยมาก คงต้องใช้นโยบายสัมปทานให้เอกชนดำเนินการ สถานการณ์อาจพลิกกลับได้หากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยเป็นไปตามศักยภาพที่ระดับ 5-6% แต่โอกาสไม่มากนัก ยกเว้นมีนโยบายสาธารณะที่ดีมากอาจช่วยปลดปล่อยศักยภาพของเศรษฐกิจและความสามารถของคนไทยได้   

 

หากไม่ปฏิรูปเศรษฐกิจและปฏิรูปภาคการคลัง รัฐไทยจะประสบความยากลำบากในการจัดหางบประมาณจ่ายบำนาญพื้นฐานในอีก 5-6 ปีข้างหน้าซึ่งสังคมไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูป หากจะต้องจ่ายเงินผู้สูงอายุทุกคนเดือนละ 3,000 บาท รัฐบาลต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมเกือบ 600,000 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2571 คิดเป็นสัดส่วน 20% ของงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ

 

รัฐบาลใหม่ควรศึกษาการปฏิรูประบบสวัสดิการบำนาญใหม่เนื่องจากโครงสร้างประชากรเปลี่ยน ประชาชนในวัยทำงานและประชาชนผู้เสียภาษีในปัจจุบันลดลง ระบบ Pay As You Go เป็นระบบที่ไม่มีการเรียกเก็บเงินจากประชาชนหรือผู้สูงอายุ แหล่งเงินของบำนาญจากรายได้ภาษีทั่วไปจะไม่มีความยั่งยืนทางการเงินระยะยาว ต้องปรับให้เป็นระบบ Fully Funded เป็นระบบที่เงินสะสมในกองทุนมาจากเงินสมทบของประชาชนที่มีสิทธิรับเงินบำนาญ 

 

เมื่อผู้มีสิทธิเกษียณอายุจึงได้รับเงินจากกองทุน ปรับให้เป็น ระบบDefined Benefits Defined Contribution มากขึ้น และ สุดท้ายต้องปฏิรูประบบสวัสดิการโดยเฉพาะสวัสดิการบำนาญให้เป็น ระบบ Multi-Pillar Pension System หมายถึง ระบบบำนาญที่ให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนหลายชั้น

 

ชั้นแรก เป็น บำนาญพื้นฐานและได้รับการจัดสรรงบประมาณมาดูแล ชั้นสอง เป็นระบบสวัสดิการที่เกิดจากการบังคับการออมเพื่อการชราภาพ ชั้นที่สาม เป็นการสร้างระบบการออมเพื่อวัยเกษียณแบบสมัครใจเพื่อให้ผู้สูงวัยมีหลักประกันทางรายได้ที่สูงขึ้น ระบบแบบหลายชั้นตามที่เสนอนี้ 

 

รัฐบาลใหม่ ต้องดำเนินการเพื่อรองรับให้ประชาชนมีหลักประกันที่เพียงพอและมั่นคงท่ามกลางความเสี่ยงทางการเงินที่ระบบบำนาญจะไม่มีเงินพอจ่ายจากสัดส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาความยากจนในวัยชราจะเป็นปัญหาที่รุนแรงมากและแก้ไขยากเพราะมีมิติปัญหาเชิงโครงสร้างซ้อนกันอยู่ทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจเหลื่อมล้ำสูง และ โครงสร้างประชากรสูงวัย  

 

รัฐบาลหรือพรรคการเมืองไม่ควรดำเนินนโยบายประชานิยมแบบขาดความรับผิดชอบ ควรหลีกเลี่ยงมาตรการต่างๆในระยะสั้นเฉพาะหน้าเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนและฐานะการคลังในระยะปานกลางและระยะยาว นโยบายสาธารณะต้องยึดประโยชน์ระยะยาว  

 

"การ แก้ พ.ร.บ. กองทุน กยศ หรือ ทบทวนกฎหมายกัญชา ฐานคิดและหลักการของนโยบายต้องชัด มองผลดีผลเสียรอบด้าน หากผู้กู้กองทุน กยศ ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ไม่ต้องจ่ายค่าปรับตามข้อเสนอของเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรในการแก้ พ.ร.บ. กองทุน กยศ จะทำให้กองทุน กยศ สิ้นสภาพการเป็นกองทุนหมุนเวียนได้ในเวลาไม่เกิน 5-6 ปีอย่างแน่นอน คือ ต้องปิดกองทุนไปหากรัฐบาลไม่ใส่เงินงบประมาณเข้ามาเพิ่มให้เพียงพอ ทำให้คนรุ่นหลังขาดโอกาสทางการศึกษาได้"

 

หากต้องการให้กองทุน กยศ เป็นกองทุนหมุนเวียนที่มีความยั่งยืน สามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องอาศัยงบประมาณจากรัฐบาลจำเป็นต้องมีการคิดอัตราดอกเบี้ย แต่สามารถคิดในอัตราต่ำพิเศษเพื่อช่วยเหลือ และ คงต้องมีค่าปรับเพื่อรักษาวินัยทางการเงิน หากแก้ไขกฎหมายให้มีการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการจัดการกองทุนโดยไม่คิดดอกเบี้ยเลย ก็ต้องให้กองทุนได้รับงบประมาณอุดหนุนทุกปีอันเป็นการเปลี่ยนแปลงหลักการเดิมของ กองทุน กยศ

 

ส่วน ... กัญชา นั้น ต้องกำหนดให้ "กัญชาใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพ" เท่านั้น ไม่ควรเปิดให้ใช้ในทางสันทนาการหรือผสมอาหารและเครื่องดื่ม การนำกฎหมายกลับไปทบทวนให้รอบคอบจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม 

 

ปัญหาการกำหนดนโยบายสาธารณะเกิดขึ้นได้เสมอ โดยมีข้อสังเกตดังนี้ 

 

ประการแรก การกำหนดนโยบายจำนวนไม่น้อยไม่มีงานวิจัยหรือหลักการทางวิชาการสนับสนุนแต่เกิดจากความเชื่อและความต้องการของผู้นำ หลายครั้งเป็นเพียงนโยบายประชานิยมแบบขาดความรับผิดชอบเอาใจฐานเสียง เป็นการมุ่งหาเสียง มากกว่า มุ่งบริหารประเทศ หรือ บางทีอาจมีการศึกษาวิจัยตามใบสั่งจึงไม่ใช่งานวิชาการอย่างแท้จริงเป็นเพียงเครื่องมือให้การรองรับนโยบายที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น

 

ในหลายกรณีจึงไม่ได้พิจารณาผลกระทบของนโยบายและต้นทุนของนโยบายอย่างครบถ้วนรอบด้าน

 

ประการที่สอง ประชาชนขาดการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะ หรือถ้ามีก็เป็นเพียงพิธีการเท่านั้น นโยบายสาธารณะจึงเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายราชการเป็นส่วนใหญ่ เป็นประชาธิปไตยตัวแทนแบบนาทีเดียวผ่านการเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ได้เป็น ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (Participatory Democracy) หรือ ประชาธิปไตยแบบผนวกรวมประชาชนทุกกลุ่ม (Inclusive Democracy)

 

ประการที่สาม นโยบายสาธารณะส่วนใหญ่มุ่งเน้นในเรื่องของเศรษฐกิจและการได้โอกาสของคนบางกลุ่มในขณะที่คนส่วนใหญ่เสียโอกาสและเสียเปรียบ 

 

ประการที่สี่ ขาดกระบวนการในการประเมินผลกระทบ เมื่อนโยบายสาธารณะได้ดำเนินการไปแล้ว ขาดกลไกในการประเมินผลกระทบด้านต่าง ๆ ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการตัดสินใจในนโยบาย นอกจากนี้ยังขาดระบบการตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลในนโยบาย จะเกิดการพอกพูนของปัญหา 
หากนโยบายสาธารณะนั้น ๆ ไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล 

 

ประการที่ห้า ปัญหาการกำหนดนโยบายสาธารณะที่เกิดจากปัญหาตัวแทน (Agency Problem) ในตลาดการเมือง โดยที่ตัวแทน (ผู้มีอำนาจรัฐ-นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยหรือนักการเมืองจากระบอบอำนาจนิยม) อาจไม่ทำตามความต้องการของประชาชนหรือมีนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของตัวการ (ประชาชน)


 

เป็นปัญหาตัวการ-ตัวแทน (Principal-agent problem) ความสัมพันธ์แบบการเป็นตัวแทน (Agency Relationship) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่บุคคลหรือกลุ่มหนึ่ง (ผู้มีอำนาจรัฐ/นักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง) จะกระทำการในนามของบุคคลหรืออีกกลุ่มหนึ่ง (ประชาชน/ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง) นั้น จะนำไปสู่ความไม่มีประสิทธิภาพ 

 

ยิ่งในระบอบอำนาจนิยม ระบอบรัฐประหารด้วยแล้ว ปัญหานี้จะยิ่งรุนแรงหลายเท่า เพราะไม่มีความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนของประชาชนอีกด้วย ภาวะข้อมูลข่าวสารไม่เท่าเทียมกัน (Asymmetric Information) ระหว่างตัวแทนกับตัวการเป้าหมายของตัวแทน (นักการเมือง) และ ตัวการ (ประชาชน) อาจขัดแย้งกันหรือแตกต่าง ประชาชนมีต้นทุนในการตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมของนักการเมืองสูง นักการเมืองอาจตอบสนองต่อกลุ่มผลประโยชน์มากกว่าประชาชนผู้ออกเสียง หรือ พรรคการเมืองอาจไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่ตัวเองนำเสนอเอาไว้

 

ความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายอาจไม่มีอยู่ อาจมีการตอบสนองอุปสงค์ต่อผลของนโยบายที่แสดงผลในระยะสั้น ประการที่หก นโยบายสาธารณะที่ไม่ดีที่สร้างปัญหาจำนวนหนึ่งเป็นผลจากการแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจ (Rent Seeking) การแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจเกิดจากการที่บุคคลหรือเอกชนใดใช้อำนาจอิทธิพลต่อนโยบายของรัฐเพื่อมุ่งประโยชน์ส่วนตน โดยใช้การผูกขาดอำนาจของราชการกับรัฐบาล เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนเกินทางเศรษฐกิจเพื่อการสนับสนุนทั้งด้านการเมืองและการเงิน นโยบายสาธารณะที่เกิดจากแสวงหาส่วนเกินทางเศรษฐกิจ

 

ทำให้เกิดต้นทุนต่อสังคม เกิดการสูญเสียประโยชน์ (Deadweight loss) หรือ การออกข้อกำหนดที่มีผลต่อการกีดกันการแข่งขัน การลงทุนซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนเพื่อรักษาส่วนเกินทางเศรษฐกิจจะเกิดผลเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคม ก่อให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ