ส่องโอกาสการลงทุน เมื่อการขึ้นดอกเบี้ยใกล้จะจบรอบ

25 ส.ค. 2566 | 00:20 น.

นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อรับมือกับทิศทางแนวโน้มระยะข้างหน้า เมื่อการขึ้นดอกเบี้ยจะจบรอบ เพื่อเปิดโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและรับมือความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น

หลังจากในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นไปตามคาด และยังไม่ปิดประตูแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้

ขณะที่ทาง ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% รวมทั้งญี่ปุ่นได้ปรับเปลี่ยนกรอบการควบคุมระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี และใช้นโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ถือได้ว่าธนาคารกลางต่าง ๆ ยังคงเฝ้าระวังและดูสถานการณ์เงินเฟ้อที่กำลังปรับลดลง แม้ในภาพรวมการขึ้นดอกเบี้ยจะจบ แต่ยังไม่ถึงเวลาปรับลดดอกเบี้ย ซึ่งในสถานการณ์นี้ ยังมีโอกาสการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้คุณภาพดี หุ้นจีน และหุ้นไทย

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปสู่ระดับ 5.50% 

แม้จะเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 66 ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่า เฟดจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกแล้ว เนื่องจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่ผ่านมาเริ่มลดลงเมื่อเทียบเดือนต่อเดือน ขณะที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญเริ่มส่งสัญญาณที่อ่อนแอลง 

แม้เศรษฐกิจสหรัฐ ยังจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำกว่าระดับ 1% ในปีหน้า หรืออาจเกิดการถดถอยทางเทคนิค หรือ GDP หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน (เทียบไตรมาสต่อไตรมาสหลังปรับฤดูกาล) 

รวมทั้งสถานการณ์ตลาดการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นหลังธนาคารในรัฐต่างๆ เริ่มเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ อาจจะทำใหีอัตราการว่างงานทยอยปรับขึ้นในไม่ช้า และน่าจะมีผลให้ค่าจ้างเติบโตช้าลงและแรงกดดันต่อเงินเฟ้อจะลดลงในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เฟด ยังไม่ฟันธงว่าจะจบรอบการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากยังต้องดูพัฒนาการของเงินเฟ้อและตลาดแรงงานในอีกสองเดือนข้างหน้าก่อนการประชุมครั้งต่อไปในช่วงกลางเดือนกันยายน 2566 

ซึ่งในระยะข้างหน้านี้ตลาดการเงินอาจผันผวนได้บ้าง หากตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่ส่งสัญญาณการชะลอตัวอย่างที่คาด หรือเงินเฟ้อมีความหน่วงในการชะลอตัวลงช้ากว่าที่คาด 

นอกจากเฟดแล้วทาง ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ก็ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกรกฎาคมเช่นกัน ที่0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Refi Rate) ได้ปรับสู่ระดับ 4.25% 

ขณะที่ นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า ECB น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับนี้ไว้ก่อนสักระยะ เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ หลังเศรษฐกิจของประเทศสำคัญอย่างเยอรมนี ได้เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคไปในช่วงก่อนหน้า และอัตราเงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณลดความร้อนแรงลง และยังมองว่าในปีนี้ทาง ECB มีโอกาสขยับอัตราดอกเบี้ยได้อีกหนึ่งครั้งก่อนถึงระดับสูงสุด

ในส่วนของประเทศญี่ปุ่น ก็ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินด้วยการขยายกรอบการควบคุมระดับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี หรือ Yield Curve Control (YCC) ที่ +/- 1.00% จากเดิมที่ระดับ 0.50% 

ทำให้มองวัามาตรการ YCC น่าจะสิ้นสุดในระยะต่อไป แต่การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ภาคธนาคารของญี่ปุ่นสามารถที่จะปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ 

โดยรวมเชื่อได้ว่าธนาคารกลางสำคัญๆ ในเอเชียได้สิ้นสุดหรือใกล้เต็มทีกับการสู้รบกับปัญหาเงินเฟ้อนับจากต้นปีก่อน แม้สงครามในการขึ้นดอกเบี้ยจะจบ แต่ไม่ใช่การถอนทหารหรือการลดดอกเบี้ย น่าจะเป็นการเฝ้าระวังและดูสถานการณ์ให้ชัดเจนกว่านี้ ว่าเงินเฟ้อกำลังปรับลดลง

ส่องโอกาสการลงทุน เมื่อการขึ้นดอกเบี้ยใกล้จะจบรอบ

โอกาสในการลงทุนหลังจากนี้ ประกอบด้วย

ตราสารหนี้คุณภาพดี : นักลงทุนน่าจะหาโอกาสในการลงทุนตราสารหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือดี ด้วยภาพการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะสิ้นสุดไปแล้วหรือใกล้จบรอบเต็มทีนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะเริ่มทรงตัวหรือปรับย่อลงได้ในไม่ช้า ซึ่งยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเข้าสะสมตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ ที่ได้ผลตอบแทนสูงและเปิดโอกาสได้รับ Capital Gains จากการปรับลงของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ เพียงแต่ให้ระมัดระวังการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มที่ไม่มีอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Non-Investment Grade รวมทั้งให้ระวังความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัทที่จะลงทุนด้วย จึงมักแนะนำให้ลงทุนกับรัฐบาลหรือหน่วยงานที่รัฐบาลค้ำประกัน

กองทุนรวมหุ้นที่กระจายการลงทุนทั่วโลกและเน้นการจ่ายเงินปันผล : นักลงทุนน่าจะหาโอกาสลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่กระจายการลงทุนทั่วโลก โดยอาจเน้นในกลุ่มหุ้นที่จ่ายเงินปันผล มีความมั่นคงและมีกำไรที่เติบโตดี ทั้งนี้ในช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังลดลง นักลงทุนมักให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงประเภทหุ้นเพิ่มขึ้นจากการประเมินมูลค่าที่น่าดึงดูดมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อการคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้อยู่

หุ้นจีน : มองโอกาสในการที่รัฐบาลจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคของจีน รวมทั้งรัฐบาลน่าจะให้ความสนใจในการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีในจีน ซึ่งนักลงทุนสามารถหาโอกาสในการลงทุนในตลาดจีน ทั้งกลุ่ม A-share และ H-share ได้จากมูลค่าที่น่าสนใจ

หุ้นไทย : หุ้นไทยปรับลดลงมามากจากความกังวลในการเลือกนายกรัฐมนตรี และความเสี่ยงทางการเมือง แต่ด้วยราคาที่ปรับย่อลงมามาก ขณะที่โอกาสในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากรายได้การท่องเที่ยวเริ่มมีความชัดเจนขึ้น รวมทั้งมองว่าในเดือนสิงหาคมนี้ น่าจะมีความชัดเจนในการได้รัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ และน่าจะมีมาตรการที่เป็นบวกต่อตลาดทุน

โดยสรุป : ยังแนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุน เพื่อเปิดโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและรับมือความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งมองว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะถึงจุดสูงสุดไปแล้ว แต่หากผิดคาด อัตราดอกเบี้ยยังขยับต่อได้ และเกิดความผันผวนในตลาดทุน และตลาดการเงินต่อเนื่อง 

"การกระจายพอร์ตในหลายกลุ่มสินทรัพย์จะสามารถช่วยจัดการความเสี่ยงและลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในพอร์ตลงทุนโดยรวมให้นักลงทุนได้"

ข้อมูลที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

บทความโดย : ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุนธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย