แบงก์ชาติห่วงแรงงานภาคการผลิต -กลุ่มอาชีพอิสระรายได้ฟื้นตัวช้า

04 ก.ย. 2567 | 04:40 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ก.ย. 2567 | 04:40 น.

กนง. พร้อมพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า - หลังเศรษฐกิจแต่ละภาคส่วนยังฟื้นตัวแตกต่างกัน โดยเฉพาะรายได้ แรงงานในภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น

วันที่ 4 กันยายน 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 4/2567 วันที่ 16 สิงหาคม และ 21 สิงหาคม 2567  โดยระบุถึงภาวะเศรษฐกิจโลกและภาวะตลาดการเงินโลกว่า เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มขยายตัว

โดยมีแรงส่งหลักจากภาคบริการ ขณะที่ภาคการผลิตอยู่ในทิศทางฟื้นตัวแม้ชะลอลงบ้าง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวจากการบริโภคเป็นสำคัญ แต่เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจในตลาดแรงงาน โดยการจ้างงานและอัตราการว่างงานเดือนกรกฎาคม 2567 ออกมาแย่กว่าคาด

ด้านเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง ส่วนหนึ่งจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อและเป็นปัจจัยฉุดรั้งกำลังซื้อในประเทศ ส่วนการผลิตและการส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มฟื้นตัวตามวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก

อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง  ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกเคลื่อนไหวผันผวน จากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก

โดยผู้ร่วมตลาดเพิ่มคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ. ปรับอ่อนค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯปรับลดลง และเริ่มมีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าตลาดพันธบัตรในภูมิภาคมากขึ้น

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. ปรับแข็งค่า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับลดลงตามพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

ภาวะเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจาก (1) ภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีสะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น และ

 (2) การบริโภคภาคเอกชนที่มีแรงส่งต่อเนื่อง แม้จะชะลอลงหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า

ขณะที่การส่งออกสินค้าและภาคการผลิตมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านการลงทุนภาคเอกชนหดตัวในไตรมาสที่ 2 สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่โน้มลงอย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวแตกต่างกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ

โดยแบ่งเป็นกลุ่มฟื้นตัวดีและมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการส่วนใหญ่ อาทิหมวดการค้า และการบริการสาธารณูปโภค ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)และประมาณร้อยละ 44ของจำนวนแรงงาน

และกลุ่มที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 40 ของ GDP และประมาณร้อยละ 56 ของจำนวนแรงงาน โดยประกอบด้วย (1) กลุ่มที่ฟื้นตัวช้าในช่วงก่อนหน้าแต่ปัจจัยเชิงวัฏจักรเริ่มคลี่คลาย

อาทิการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และภาคก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากการเบิกจ่ายภาครัฐที่ล่าช้าในช่วงที่ผ่านมา และ (2) กลุ่มที่ฟื้นตัวช้าอีกทั้งยังได้รับแรงกดดันต่อเนื่องจากทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงวัฏจักร

อาทิ (2.1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ซึ่งหดตัวจากการปรับเปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เร็วกว่าคาด อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง รวมถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อของสถาบันการเงิน และ (2.2) ธุรกิจที่เผชิญการแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากจีน อาทิสินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องนุ่งห่ม และเฟอร์นิเจอร์มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ

ทั้งนี้ ต้องติดตามการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่โน้มลดลง ประกอบกับรายได้ที่ฟื้นตัวช้าและฐานะการเงินของครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังเปราะบาง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับลดลงจากที่ประเมินไว้จาก

(1) ราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มชะลอลงตามผลผลิตที่ขยายตัวดีจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และ

(2) ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ราคาหมวดพลังงานและอาหารสดในระยะข้างหน้าไม่เร่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับอดีต

ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้นโดยเฉพาะสินค้านำเข้าจากจีน โดยมูลค่าสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ราคาสินค้านำเข้าจากจีนมักต่ำกว่าราคาสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น ปัจจัยข้างต้นส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ยังต้องติดตามการขยายมาตรการช่วยเหลือราคาพลังงานของภาครัฐในระยะต่อไป

ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง ต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ทรงตัวใกล้เคียงเดิม แต่ธุรกิจ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มมีภาวะการเงินที่ตึงตัวขึ้นสะท้อนจากสินเชื่อที่ชะลอลงและคุณภาพสินเชื่อที่ปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อครัวเรือน

ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนกลุ่มเปราะบางที่ปรับลดลงจากรายได้ที่ฟื้นตัวช้า และบางส่วนมาจากลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือทางการเงินที่ดำเนินการมาตั้งแต่ช่วง COVID-19 แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้

ทั้งนี้ ประเมินว่าสัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ด้านสินเชื่อภาคธุรกิจโดยรวมทรงตัว แต่สินเชื่อในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์หดตัวส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่สินเชื่อ SMEs หดตัวจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้น

ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการฯ อภิปราย

• คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจะขยายตัวสมดุลขึ้นจากทั้งอุปสงค์ในประเทศและภาคต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ มีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในบางภาคส่วนโดยเฉพาะ

(1) การบริโภคภาคเอกชนที่แรงส่งอาจชะลอกว่าที่ประเมินไว้จากปัจจัยต่างๆ เช่น รายได้แรงงานมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลง โดยเฉพาะลูกจ้างภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในกลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางถึงต่ำที่ปรับลดลงรวมทั้งคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนบางกลุ่มที่ปรับด้อยลง และ

(2) การส่งออกและภาคการผลิตในกลุ่มที่ฟื้นตัวช้าและมีแนวโน้มถูกกดดันต่อเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป และอาจมีนัยสำคัญต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว

• คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทยอยกลับสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี2567 และมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมาย ส่วนหนึ่งจากปัจจัยเชิงโครงสร้างเช่น

การส่งผ่านผลของอัตราแลกเปลี่ยนไปยังเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่นจากการมีลูกจ้างอิสระและแรงงานต่างด้าวที่สามารถกลับเข้ามาเป็นลูกจ้างนอกภาคเกษตรได้จึงทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจส่งผลต่อการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานจำกัด ประกอบกับการนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืด (deflation) และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยที่เผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าครัวเรือนกลุ่มอื่นในช่วงที่ผ่านมา

เนื่องจากครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยมีสัดส่วนการบริโภคในหมวดอาหารที่สูงกว่า ประกอบกับการปรับราคาของสินค้าราคาถูกมักเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่ราคาแพงกว่า

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ร้อยละ 1-3 มีส่วนช่วยยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางได้ดีและมีความยืดหยุ่นเพียงพอในการรองรับความผันผวนจากปัจจัย

ด้านอุปทาน เช่น การปรับขึ้นของราคาพลังงานโลกในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไม่สูงค้างนานจากปัจจัยดังกล่าว นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของราคาที่มาจากปัจจัยด้านอุปทานรวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยืดหยุ่นจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง

• คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจและภาคการเงิน (macro-financial linkages) คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนชะลอลงโดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและเช่าซื้อ

อีกทั้งเห็นสัญญาณของการด้อยคุณภาพที่เริ่มกระจายจากครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยไปยังกลุ่มรายได้ที่สูงขึ้น จึงเห็นควรให้ติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่อาจส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม

รวมทั้งส่งผลต่อเนื่องไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน และจะย้อนกลับมากระทบคุณภาพสินเชื่ออีกครั้ง โดยต้องเฝ้าระวังวงจรสะท้อนกลับเชิงลบระหว่างภาคเศรษฐกิจและภาคการเงินดังกล่าว (adverse feedback loop)

• กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน โดยพิจารณาว่า

(1) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และ

(2) หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้(debt deleveraging) ควรเกิดขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้กรรมการจะติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมอย่างใกล้ชิด รวมถึงนัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป ขณะที่กรรมการ 1 ท่านเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

โดยเห็นว่า

(1) เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น

(2) มีส่วนช่วยบรรเทาภาระลูกหนี้ได้บ้าง โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดในการปรับตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และ

(3) มีความกังวลว่ากลุ่มที่มีความเปราะบางอาจขยายฐานกว้างขึ้น

การดำเนินนโยบายการเงิน

คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามที่ประเมินไว้จากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่การส่งออกโดยรวมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการส่งออกสินค้าบางกลุ่มยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

ทั้งนี้ เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนยังฟื้นตัวแตกต่างกันโดยรายได้แรงงานในภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น ด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567

ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs จึงสนับสนุนมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งยังสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีส่วนช่วยให้กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) เกิดขึ้นต่อเนื่อง

ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและภาวะการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน โดยจะพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

 

อนึ่งกรรมการที่เข้าร่วมประชุม (คณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งที่ 4/2567วันที่ 16 สิงหาคม และ 21 สิงหาคม 2567 ธนาคารแห่งประเทศไทย) ประกอบด้วย นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ (ประธาน) นางอลิศรา มหาสันทนะ (รองประธาน) นางรุ่ง มัลลิกะมาส  นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน นายรพี สุจริตกุล นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส นายสันติธาร เสถียรไทย