นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยถึงตัวเลขนักลงทุนต่างชาติที่สนใจมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้แสดงถึงศักยภาพของประเทศไทยที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยพบว่า ตั้งแต่เดือน มกราคม – กันยายน 2567 (9 เดือน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พรบ.ประกอบธุรกิจของคนต่างชาติฯ จำนวน 636 ราย
โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ จำนวน 143 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างชาติ จำนวน 493 ราย รวมเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 134,805 ล้านบาท
“การลงทุนนี้จะทำให้เกิดการหมุนเวียนในทุกธุรกิจ ที่เป็นองค์ประกอบการผลิต เกิดการจ้างงานเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบ9 เดือนของปีที่แล้ว พบว่าปีนี้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29”
นายจิรายุ กล่าวด้วยว่า นักลงทุนเข้ามา 5 อันดับแรก ประกอบด้วย ญี่ปุ่น 157 ราย (25%) เงินลงทุน 74,091 ล้านบาท (2) สิงคโปร์ 96 ราย (15%) ลงทุน 12,222 ล้านบาท (3) จีน 89 ราย (14%) ลงทุน 11,981 ล้านบาท (4) สหรัฐอเมริกา 86 ราย (13%) ลงทุน 4,147 ล้านบาท และ 5) ฮ่องกง 46 ราย (7%) ลงทุน 14,116 ล้านบาท โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุด ยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติช่วง 9 เดือน ปี 2567 มีนักลงทุน 207 ราย (33% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 108 ราย (109%) มูลค่าการลงทุน 39,830 ล้านบาท (30% ของเงินลงทุนทั้งหมด) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 23,690 ล้านบาท (147%)
โดยเป็นนักลงทุนจาก (1) ญี่ปุ่น 67 ราย เงินลงทุน 13,191 ล้านบาท (2) จีน 54 ราย ลงทุน 7,227 ล้านบาท (3) ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 68 ราย ลงทุน 14,192 ล้านบาท
“ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศคือ ธุรกิจ แพลตฟอร์ม และ ซอฟต์แวร์ ที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง”
ทั้งนี้ นักลงทุนชาวต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในธุรกิจแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์ของประเทศไทย มีสัดส่วนการลงทุนมูลค่า 28,397.26 ล้านบาท คิดเป็น 7.27% (กลุ่มแพลตฟอร์ม 11,721.44 ล้านบาท กลุ่มซอฟต์แวร์ 16,675.82 ล้านบาท) โดยต่างชาติที่มาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ สิงคโปร์ ลงทุน 9,814.28 ล้านบาท ไต้หวัน 5,953.63 ล้านบาท และ มาเลเซีย 2,237.63 ล้านบาท
นายจิรายุ กล่าวอีกว่า ตัวเลขการลงทุนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนชาวต่างชาติให้ความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ มีเสถียรภาพ มีศักยภาพทางด้านการลงทุนทั้งการคมนาคม และการสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาล คือ การหาตลาดการลงทุนใหม่ รักษาตลาดเก่า ขยายการลงทุนให้เป็นรูปธรรมเพิ่มขึ้น
เนื่องจากประเทศไทยมีสิทธิประโยชน์ที่กระตุ้นให้เกิดการลงทุน โครงสร้างพื้นฐานที่ดี วัตถุดิบที่เพียงพอ และมีอุตสาหกรรมที่พร้อมสนับสนุนแผนการลงทุน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย