ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานเงินบาทสัปดาห์ที่ผ่านมา อ่อนค่าไปที่ระดับ 38.45 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปี หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่ฟื้นตัวกลับมาบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์
เงินบาทเผชิญแรงขายตามแรงกดดันของค่าเงินหยวน (อ่อนค่าสุดในรอบ 14 ปี) และสกุลเงินในภูมิภาคท่ามกลางความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก สวนทางเงินดอลลาร์ ที่แข็งค่าขึ้นตามบอนด์ยีลด์สหรัฐ รับสัญญาณแนวโน้มการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
อย่างไรก็ดี กรอบการอ่อนค่าของเงินบาทชะลอลงบางส่วนหลังการเข้าซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางอังกฤษ และการเข้าดูแลค่าเงินหยวนของธนาคารกลางจีน ที่กระตุ้นให้เกิดแรงขายเงินดอลลาร์ เพื่อปรับโพสิชันและทำกำไรก่อนช่วงปิดสิ้นไตรมาส
ทั้งนี้ คงต้องติดตามสถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งอยู่ในฝั่งขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ สำหรับท่าทีต่อค่าเงินบาทนั้น สัญญาณจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สะท้อนว่า จะดูแลในช่วงที่การเคลื่อนไหวของเงินบาทผันผวนผิดปกติ แต่ก็จะต้องไม่ฝืนทิศทางตลาด
ในวันศุกร์ที่ 30 ก.ย. 2565 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 37.80 บาทต่อดอลลาร์ หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 16 ปีที่ 38.45 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงหลังการประชุม กนง. เทียบกับระดับ 37.47 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (23 ก.ย.)
ขณะที่ระหว่างวันที่ 26-30 ก.ย. นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 7,148 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflow ออกจากตลาดพันธบัตรประมาณ 22,629 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ขายสุทธิพันธบัตร 22,379 ล้านบาท และตราสารหนี้ที่หมดอายุ 250 ล้านบาท
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (3-7 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ระดับ 37.50-38.20 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ย. ของไทย กระแสเงินทุนต่างชาติและสถานการณ์ค่าเงินในภูมิภาค