นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) กล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาวานนี้ (7 มี.ค. ตามเวลาสหรัฐ) ว่า เฟด อาจ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย สู่ระดับสูงกว่าที่เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ยังคงมีความแข็งแกร่ง
"ข้อมูลทางเศรษฐกิจล่าสุดแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายของเฟดจะอยู่สูงกว่าที่มีการคาดการณ์ และหากข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าเฟดควรคุมเข้มนโยบายการเงินให้เร็วขึ้น เราก็จะเพิ่มความเร็วในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย"
นายพาวเวลล์กล่าวว่า ถึงแม้เงินเฟ้อได้ชะลอตัวลงหลังจากแตะจุดสูงสุดในปีที่แล้ว (2565) แต่กระบวนการทำให้เงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมาย 2% ยังคงเป็นหนทางอีกยาวไกล และไม่ราบรื่น ดังนั้น ภารกิจในการต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟดจึงยังคงไม่สิ้นสุด และเฟดจำเป็นที่จะต้องคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ถ้อยแถลงของประธานเฟดครั้งนี้บ่งชี้ว่า การที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนกุมภาพันธ์ อาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
ทั้งนี้ นายพาวเวลล์มีกำหนดการกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ โดยเขาต้องกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันอังคาร (7 มี.ค.) ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธนี้ (8 มี.ค.)
นักลงทุนต่างจับตาถ้อยแถลงของนายพาวเวลล์เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและทิศทางการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 21-22 มีนาคม
ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนธ.ค.2565 เจ้าหน้าที่เฟดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายที่ระดับ 5.1% แต่นักลงทุนคาดการณ์ที่ระดับ 5.25-5.50%
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลล์ไม่ได้ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ระดับใด และย้ำว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะขึ้นอยู่กับการประชุมในแต่ละครั้ง รวมทั้งขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เฟดได้รับ โดยเฟดจะพิจารณาถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะมีต่อเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเฟดจะไม่มีการกำหนดล่วงหน้าสำหรับทิศทางนโยบายการเงิน
สำหรับ กำหนดการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประจำปี 2566 มีดังนี้
ทั้งนี้ การประชุม FOMC ครั้งแรกของปี 2566 (31 ม.ค. ถึง 1 ก.พ.) เฟดมีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น อีก 0.25% จึงทำให้ดอกเบี้ยดังกล่าวขึ้นมาสู่ระดับ 4.50-4.75%