ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2566 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2566 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือวันที่ 20 มีนาคม 2566 เป็นต้นไป
โดยสาระสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้แก่ บัญญัติให้สมาชิก กบข. สามารถส่งเงินสะสมเข้ากองทุนเกินกว่าอัตราที่กำหนดได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งรวมกันแล้วไม่เกิน 30% ของเงินเดือน
ส่วนกรณีที่สถานะสมาชิกสิ้นสุดลง และมีสิทธิได้รับเงินสะสม เงินสมทบ เงินประเดิม เงินชดเชย และผลประโยชน์ตอบแทน แต่ยังไม่ขอรับเงินคืน หรือทยอยรับเงินคืน กองทุนสามารถบริหารเงินที่ยังไม่รับคืนตามแผนการลงทุนเดิมต่อไปได้ และสมาชิกผู้นั้นมีสิทธิเลือกแผนการลงทุนได้
อย่างไรก็ดี ถ้าผู้นั้นขอโอนเงินไปยังกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนอื่นที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายและมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักประกัน กรณีการออกจากงาน หรือชราภาพ กองทุนกบข.ต้องโอนเงินไปยังกองทุนดังกล่าวภายใน 7 วันทำการนับตั้งแต่ผู้นั้นแสดงความประสงค์
ส่วนหากกองทุนบริหารเงินของสมาชิกภาพสิ้นสุดลง และต่อมาถึงแต่ความตาย ถ้าผู้มีสิทธิรับมรดกยังไม่ยื่นคำขอรับเงิน กองทุนสามารถบริหารเงินนั้นต่อไปได้ตามแผนการลงทุนที่สมาชิกผู้นั้นเลือกไว้จนกว่าผู้มีสิทธิรับมรดกจะยื่นคำขอรับเงิน
ทั้งนี้ เงินลงกองทุน กบข. ที่อยู่ในบัญชีเงินสำรองให้ลงทุนได้ ได้แก่
โดยเงินที่อยู่ในบัญชีเงินกองกลาง อย่างน้อยต้องกำหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง ไม่ต่ำกว่า 60% ขณะเดียวกัน เงินของกองทุนที่อยู่ในบัญชีเงินรายบุคคล ให้กองทุนจัดให้มีแผนการลงทุนเพื่อให้สมาชิกเลือก โดยอาจกำหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงแตกต่างกันได้ แต่อย่างน้อยต้องมีแผนการลงทุนในหลักทรัพย์มั่นคงสูงไม่ต่ำกว่า 60%
ทั้งนี้ แผนการลงทุนที่กำหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะสมกับช่วงอายุสมาชิก แต่ถ้าสมาชิกไม่ได้ใช้สิทธิเลือกแผนการลงทุน ถือว่าสมาชิกยินยอมนำเงินดังกล่าวไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงตามช่วงอายุ
โดยสามารถอ่านประกาศพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2566 ฉบับเต็มได้ที่นี่