เศรษฐกิจสหรัฐ กำลังเผชิญกับ ภาวะวิกฤต ทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ตลาดตราสารหนี้ และ เงินฝากที่ไม่ได้รับการประกัน ที่มีจำนวนมากถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์ใน ระบบธนาคาร
สำนักข่าวเทเลกราฟรายงานว่า เหตุการณ์ ธนาคารล้ม ครั้งใหญ่ที่สุดลำดับสองและสามในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นติดต่อกันในเวลาอันสั้น โดยกระทรวงการคลังและธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องการให้ผู้คนเชื่อว่า เหตุการณ์ข้างต้นนี้เป็นเพียง "กรณีเฉพาะ" ของธนาคารแต่ละรายที่ประสบปัญหาเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงนั่นนับเป็นข้ออ้างที่อันตราย
รายงานระบุว่า ธนาคารเกือบครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 4,800 แห่งของสหรัฐได้ใช้กองทุนส่วนเพิ่มเพื่อสำรองไว้ยามฉุกเฉิน (Capital buffer) ไปแล้ว โดยธนาคารเหล่านี้อาจไม่จำเป็นต้องเปิดเผยภาวะขาดทุนทั้งหมดต่อตลาดภายใต้กฎระเบียบการบัญชีของสหรัฐ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ธนาคารเหล่านี้รอดพ้นจากภาวะล้มละลายไปได้
ศาสตราจารย์อามิต เซรู ผู้เชี่ยวชาญด้านการธนาคารจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดแสดงความเห็นว่า นี่เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัวอย่างมาก “ขณะนี้ธนาคารหลายพันแห่งของสหรัฐจมอยู่ใต้น้ำ ผมไม่อยากให้หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐแสร้งทำเหมือนกับว่านี่เป็นเรื่องของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) เท่านั้น เพราะขณะนี้ธนาคารจำนวนมากในสหรัฐมีสิทธิ์ที่จะล้มละลายได้"
เมื่อแบงก์กว่าครึ่ง มีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน
ศาสตราจารย์เซรู ยังกล่าวด้วยว่า ภาวะตื่นตระหนกอย่างเต็มรูปแบบจากผลพวงของการที่เฟดคุมเข้มนโยบายการเงินยังมาไม่ถึง โดยหนี้ก้อนมหึมามีความเสี่ยงที่จะต้องถูกรีไฟแนนซ์ตลอดช่วง 6 ไตรมาสข้างหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเราถึงจะทราบว่า ระบบการเงินของสหรัฐจะสามารถลดภาระหนี้สินได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ หลังจากมีการสร้างหนี้สินมากเกินพอดีจากผลพวงของนโยบายกระตุ้นการเงินขั้นสูงในช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด
ศาสตราจารย์เซรูและคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการธนาคารระบุในรายงานของสถาบันฮูเวอร์ อินสติติวชัน ว่า ปัจจุบันธนาคารของสหรัฐกว่า 2,315 แห่งมีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สิน และมูลค่าตลาดของพอร์ตเงินกู้อยู่ในระดับต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์
ธนาคารเหล่านี้ รวมถึงธนาคารรายใหญ่ โดย 1 ใน 10 ของธนาคารที่เสี่ยงล้มละลายมากที่สุดเป็นธนาคารที่มีความสำคัญต่อระบบโลกเนื่องจากมีสินทรัพย์มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนธนาคารอีก 3 แห่งเป็นธนาคารรายใหญ่ โดยศาสตราจารย์เซรูระบุว่า "นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของธนาคารที่มีสินทรัพย์ต่ำกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ที่ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการทดสอบภาวะวิกฤต"
กระทรวงการคลังสหรัฐและบรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) คิดว่าการอุ้มผู้ฝากเงินที่ไม่มีประกันในธนาคาร SVB และซิกเนเจอร์ แบงก์ (SB) หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งล้มในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา สามารถยับยั้งวิกฤตได้แล้วและไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงเชิงระบบ แต่นั่นอาจจะเป็นความคิดที่ผิด
รายงานระบุว่า ทำเนียบขาวคัดค้านการรับประกันเงินฝากทั้งหมด เนื่องจากดูไม่ต่างอะไรจากการให้สวัสดิการทางสังคมกับคนร่ำรวย นอกจากนี้ FDIC ก็มีสินทรัพย์อยู่เพียง 1.27 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะร่อยหรอลงในเวลาอันใกล้นี้ จนท้ายที่สุดอาจต้องขอรับความช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
เว็บไซต์สำนักข่าวเทเลกราฟยังระบุด้วยว่า ต้นตอที่ก่อให้เกิดวิกฤตตราสารหนี้และธนาคารในสหรัฐ คือการที่เฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐมีพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้และสร้างแรงจูงใจที่ผิดปกติตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเปลี่ยนจากการดำเนินนโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายขั้นสูง ไปสู่การคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน
โดยในช่วงแรกเฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐสร้างความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และขณะนี้หน่วยงานทั้งสองก็กำลังจุดชนวนระเบิดเวลาที่ตนเองเป็นผู้สร้างขึ้น