วันที่ 17 ตุลาคม 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง งบประมาณในการดำเนินงานของ super app ซึ่งเป็นแอพในการจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ว่า เป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาช่วยเรื่องการพัฒนาระบบ โดยในส่วนค่าใช้จ่ายไม่มีตัวเลขอะไรที่น่าเป็นห่วง และขณะนี้กำลังคุยกันอยู่ว่าหน่วยงานใดจะเป็นผู้จ่ายเงิน
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เป็นการเติมเงิน 10000 บาท โดยผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยมีเงื่อนไขใหม่ อาทิ ห้ามใช้เกี่ยวกับอบายมุข การออมและการใช้หนี้ ซึ่งถือเป็นกลไกใหม่ในการช่วยเหลือประชาชนเพื่อผลักดันให้เม็ดเงินสู่ระบบ
เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้บริษัทผู้ดำเนินการจัดทำ super app แล้วหรือยัง นายจุลพันธ์ ปฏิเสธว่า ไม่ใช่บริษัท แต่เป็นธนาคารที่อยู่ในการกำกับของรัฐ เป็นผู้ดำเนินการโดยไม่ได้มีการจ้างบริษัทภายนอก พร้อมยืนยันว่าไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง
" ต้องให้ธนาคารในการกำกับดูแลของรัฐไปประชุมและมอบหมายกันเอง ว่าจะให้ธนาคารใดเป็นผู้ทำแอพ โดยจะมีการประชุมในวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคมนีั ส่วนจะได้คำตอบหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งตนไม่สามารถตอบได้"จะไม่มีคนกลุ่มใดได้ประโยชน์จากการจะทำแอพนี้"นายจุพันธุ์ พร้อมยืนว่า
เงินดิจิทัล 10000 บาท เป็นโครงการที่โปร่งใสมาก และระบบบล็อกเชนก็มีความปลอดภัยมากที่สุดในตอนนี้ ที่สามารถตรวจสอบความผิดพลาดและการทุจริตได้ด้วยส่วนที่มีกระแสข่าวว่าค่าจะทำแอพสูงถึง 12,000 ล้านบาทนั้น รมช.คลัง หัวเราะพร้อมปฏิเสธว่า "ไม่มีทาง ฟังแล้วก็ยังตลกอยู่เลย ไม่มีแอพพลิเคชั่นไหนพัฒนาในราคาดังกล่าว" และ ตนไม่กล้าตอบตัวเลขที่ชัดเจน แต่เท่าที่ทราบไม่ได้ใช้เงินมากอะไร
ส่วนเหตุผลที่ไม่ใช้แอพเป๋าตัง นายจุลพันธ์ ระบุว่า แอพเดิมเมื่อมาทำดิจิทัลวอลเล็ตฟังชั่นจะเกิดความแตกต่างในระบบและวัตถุประสงค์ก็แตกต่าง เพราะของเรากำหนดในบล็อกเชนซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องมีความปลอดภัยและมีกลไกที่โปร่งใส นอกจากนี้แอพในอดีตข้อมูลยังเป็นของรัฐแต่ตัวแอพพลิเคชั่นไม่ใช่ของรัฐ
ดังนั้นการต่อยอดจึงมีข้อจำกัด แต่แอพใหม่จะดึงข้อมูลของรัฐที่เป็นประโยชน์มาใช้ประโยชน์ อย่างเช่นฐานข้อมูล และโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่มีการลงทะเบียนแต่จะให้มีการยืนยันตัวตน เพราะมีข้อกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้
เมื่อถามถึงแหล่งที่มาของเงินทั้งหมดที่รัฐใช้งบ 5.6 แสนล้านบาท จะสามารถใช้เงินนอกประมาณ 4.8 ล้านล้านบาท ตามที่ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุไว้หรือไม่ รมช.คลัง กล่าวว่า อันนี้ไม่รู้ไม่ทราบ ตนไม่ได้ฟังเขาจึงไม่กล้าตอบ
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวการเตรียมฟ้องร้องโครงการดังกล่าว รมช.คลัง กล่าวว่าไม่เป็นไร ใครมีสิทธิ์ดำเนินการตามช่องทางทางกฏหมายก็สามารถดำเนินการได้ อย่างเช่น ป.ป.ช.ก็ตั้งคณะกรรมการติดตาม ถือว่าเป็นสิ่งดีมาก เพราะมีหน่วยงานรัฐมาช่วยดูเพื่อให้เกิดความรอบคอบ และตนก็พร้อมเสนอตัวไปคุยกับ ป.ป.ช.เองเพื่อชี้แจงให้คลายกังวลและขณะเดียวกันก็รับข้อสังเกตมาปรับปรุง เพื่อให้โครงการเดินหน้าและไม่เสียวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์จะซ้ำรอยโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่ รมช.คลัง ระบุว่า คนละเรื่องเลย ไม่เหมือนกันเลย อันนี้เป็นกลไกกระตุ้นเรื่องเศรษฐกิจโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ซึ่งเรื่องนี้ตนยังหาช่องโหว่ไม่ได้เลยตรงไหนอย่างไร
เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวจะมีการเก็บค่าแลกเงินร้านค้า และเงินเข้าและออกจำนวน 3% นั้น รมช.คลัง ระบุว่า อันนี้คิดไปเอง ไม่มีเพราะไม่ใช่ คริปโต โครงการนี้เป็นการเติมเงิน 10000 บาท เข้าไปในกระเป๋าเงินดิจิตอล และยืนยันว่า ประชาชนจะได้เงิน 10000 บาทเต็มๆ ไม่มีหัก รวมถึงไม่มีการจัดเก็บเงินเปอร์เซ็นต์จากร้านค้าด้วยเช่นกัน พร้อมยืนยันว่า โครงการดังกล่าวไม่มีทางทำไม่ได้ ต้องทำได้แน่นอน