ยอดใช้จ่ายบัตรเครดิตโต 25% พร้อมหนี้เสีย 32%

16 ส.ค. 2567 | 07:46 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ส.ค. 2567 | 07:46 น.

ทีทีบี คอนซูมเมอร์เผย ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรครึ่งแรกปี 67 โต 25% ชี้ธปท.ปรับมาตรการช่วยลูกหนี้ กระตุ้นลูกหนี้ปรับโครงสร้างเพิ่ม เหตุยังมีบัตรไว้ใช้ได้ยามฉุกเฉิน ธปท.ระบุยอดหนี้บัตรเครดิตลด แต่ยอดค้าง 3 เดือนเพิ่ม 31.64%

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้

  1. ขยายเวลาผ่อนชำระขั้นต่ำ (minimum payment) บัตรเครดิต 8% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 ใครที่จ่ายมากกว่า 8% จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ย 0.5% ของยอดค้างชำระในครึ่งปีแรก และ 0.25% ในครึ่งหลังของปี 2568 พร้อมกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้เพิ่มเติม
  2. การรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อย (DebtConsolidation) โดยผ่อนปรนเงื่อนไขอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (loan-to-value ratio) ในทุกลำดับสัญญาให้สามารถเกินกว่าเพดานที่กำหนดได้
  3. การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) โดยขยายเวลาปิด จบหนี้จากภายใน 5 ปี เป็น 7 ปี ดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปีเท่าเดิม 

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)รายงานยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ที่ 4.69 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 ลดลง 5,138.28 ล้านบาทหรือลดลง 1.08%  เมื่อเทียบจาก 4.74 แสนล้านบาทช่วงเดียวกันปีที่แล้ว โดยมาจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 2.22 แสนล้านบาทลดลง 5,491.3 ล้านบาทหรือลดลง 2.41% จาก 2.27 แสนล้านบาทช่วงเดียวกันปีก่อน และมาจากกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์(นอนแบงก์) 2.47แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 352.52 ล้านบาทหรือ 0.14% จาก 2.46 แสนล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน 

ยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิต

ส่วนยอดค้างชำระ 3เดือนขึ้นไปจำนวน 13,245.82 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3,185.33 ล้านบาทหรือ 31.64%เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 10,061.49 ล้านบาท โดยมาจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น 1,946.65 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 39.72% และมาจากกลุ่มนอนแบงก์ 6,398.46 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,237.68 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 23.98%

นายจเร เจียรธนะกานนท์ ประธานกลุ่มบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อ รายย่อย ทีเอ็มบีธนชาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีบี คอนซูมเมอร์ จำกัดเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทีทีบีมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่สามารถจ่ายได้ถึง 8% อยู่แล้วทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและขยายเวลาผ่อนชำระผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งลูกค้ากลุ่มที่จ่ายขั้นต่ำ 5% แต่ไม่ถึง 8% มีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับพอร์ตบัตรเครดิตโดยรวม

นายจเร เจียรธนะกานนท์ ประธานกลุ่มบริหารผลิตภัณฑ์สินเชื่อ รายย่อย ทีเอ็มบีธนชาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีบี คอนซูมเมอร์ จำกัด
“มาตรการธปท.ที่จะเปิดโอกาสให้ลูกค้ากลุ่มนี้ยังคงมีโอกาสใช้วงเงินคงเหลือของบัตรเครดิตที่มีหลังจากปรับโครงสร้างหนี้ได้นั้น คาดว่า จะกระตุ้นให้ลูกหนี้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้ได้เพิ่ม เพราะยังคงมีบัตรเครดิตไว้ใช้ได้ในยามฉุกเฉิน แต่ก็คงต้องหารือกับ ธปท.ในการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม” นายจเรกล่าว 

ส่วนการรวมหนี้สินเชื่อที่อยู่ อาศัยกับสินเชื่อรายย่อยนั้นสามารถจูงใจให้ลูกหนี้มาใช้บริการได้ เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การรวมหนี้จะสามารถเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ในหลายๆมุมคือ ลดภาระผ่อนชำระต่อเดือนจากบัญชีบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล เช่น เดิมต้องจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำที่ 8% ของยอดหนี้ทั้งหมด ถ้ารวมหนี้มาใช้กลุ่มสินเชื่อบ้านแลกเงินที่ผ่อนได้ยาวสูงสุด 30 ปี ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือน น้อยลงอย่างมาก 

ส่วนดอกเบี้ยคือ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายเพื่อชำระดอกเบี้ย จากเดิมบัตรเครดิตหรือ บัตรกดเงินสด/สินเชื่อส่วนบุคคลที่เสียดอกเบี้ย 16-25% จะลดลงมาเป็นดอกเบี้ยกลุ่มสินเชื่อบ้านแลกเงินอยู่ที่ประมาณ 7-8% 

ขณะเดียวกัน การผ่อนเกณฑ์ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) เกินกว่าเพดาน หลังการรวมหนี้นั้น ก็จะสามารถช่วยให้ลูกหนี้สามารถรวม หนี้จากบัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด/สินเชื่อส่วนบุคคล ได้มากขึ้น ส่งผลให้ช่วยเพิ่มสภาพคล่องต่อเดือนให้กับลูกหนี้ระยะยาว 

กรณีลูกหนี้เรื้อรังที่ขยายเวลาปิดจบหนี้เป็น 7 ปี จากเดิม 5 ปี นั้นคาดว่าลูกค้าจะตัดสินใจเข้าร่วมโครงการมากขึ้นจากรอบปี 2567 ที่มีมูลหนี้เข้าร่วม 1% ของมูลหนี้ทั้งหมดของลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ โดยเพิ่มเป็นอย่างน้อย 5% ของมูลหนี้ทั้งหมดของลูกค้าที่เข้าเกณฑ์ในปี 2568 

อย่างไรก็ตาม ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตครึ่งแรกปี 2567 เติบโตมากกว่า 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ส่วนในครึ่งปีหลัง ธนาคารยึดหลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (RL: Responsible Lending) และเฝ้าระวัง โดยจะเน้นรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อบัตรเครดิต การปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตใหม่จะเน้นทำการตลาดกับกลุ่มที่มีความเสี่ยงกลางถึงต่ำ 

ขณะที่การทำการตลาดจะยังมุ่งเน้นในหมวดสำคัญ ได้แก่ 1.หมวดหมู่การใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำมัน, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านอาหาร 2.หมวดความคุ้มครองเช่น ประกันชีวิตและประกันภัย 3.หมวดเพื่อสุขภาพกับโรงพยาบาลพันธมิตร 4.หมวดแบ่งเบาภาระใช้จ่ายให้กับผู้ถือบัตรเช่น ผ่อน 0%ต่างๆ 5. หมวดการใช้จ่ายออนไลน์เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคสมัยใหม่  

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งกล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้กำลังรอความชัดเจนจากธปท.ซึ่งเข้าใจว่า ธปท.จะออกหนังสือเวียนถึงผู้ประกอบการและธนาคารที่ให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อที่เกี่ยวข้อง แต่ในระหว่างนี้ทราบว่า ทางชมรมธุรกิจบัตรเครดิตจะมีการประชุมกันด้วย 

สอดคล้องกับแหล่งข่าวอีกรายกล่าวว่า ภาพรวมขณะนี้ทุกสถาบันที่ให้บริการลูกค้าทั้งด้านบัตรเครดิตสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ให้น้ำหนัก ในการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว แต่ในแง่ของการทำตลาดและพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ก็ยึดนโยบาย RL อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความ เสี่ยงที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย 

 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในช่วงที่ผ่านมาการอนุมัติสินเชื่อ แม้กระทั่งธนาคารขนาดใหญ่ชะลอการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว แม้กระทั่งธนาคารขนาดใหญ่ชะลอการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว เห็นได้จากธนาคารไทยพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.67 สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน 28,988ล้านบาท ลดลง 31.4% จาก ช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 42,230 ล้านบาท

และในส่วนของบริษัทในเครือคือ บริษัท คาร์ด เอกซ์ (สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต) จำนวน 102,563 ล้านบาท ลดลง 12.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 117,471 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก CardX ยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมด้านเครดิต ซึ่งนำไปสู่การพิจารณาและกระบวนการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นสำหรับ สินเชื่อใหม่ ตลอดจนถึงการลดความเสี่ยงต่อกลุ่มอาชีพอิสระในพอร์ตสินเชื่อส่วนบุคคล

ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา ณ สิ้นเดือนมิ.ย.67 สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และอื่น ๆ มีจำนวน 162,668ล้านบาท  ลดลง 89,226ล้านบาทหรือลดลง 35.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อนออยู่ที่  251,894ล้านบาท เป็นต้น