แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568: ปัจจัยเสี่ยงและโอกาสของธุรกิจ

29 ธ.ค. 2567 | 11:04 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ธ.ค. 2567 | 11:04 น.

ดีลอยท์ ประเทศไทย ชี้นโยบายทรัมป์ 2.0 เพิ่มความเสี่ยงการค้าโลก หวั่นกระทบส่งออกไทย ขณะที่การบริโภคจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันว่าเศรษฐกิจไทยในปี “งูเล็ก” จะเผชิญกับความท้าทายมากกว่าปี “งูใหญ่” ที่ผ่านมาหรือไม่

หากย้อนกลับไปในปี 2533 ประเทศไทยเคยมีอัตราการเติบโตของ GDP สูงสุดในภูมิภาคอาเซียนที่ 11% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2533- 2538 อยู่ที่ 8.7% ขณะที่อาเซียนมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 5.6%

อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเริ่มลดลงและต่ำกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2557-2566) GDP ของไทยเติบโตเพียง 1.8% ขณะที่อาเซียนมีการเติบโตมากกว่า 3.7%

ในส่วนของอัตราเงินเฟ้อรายเดือน ประเทศไทยยังคงสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เคยมีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 11% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามเคยเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่สูงกว่า 80% ในปี 2541 และกว่า 28% ในปี 2553 ตามลำดับ

ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 อาจเติบโตเพียง 0.4% แต่จะเริ่มเข้ากรอบเป้าหมายที่ 1.1% ในปี 2568

อัตราเงินเฟ้อในระดับต่ำดังกล่าว บวกกับการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2567 ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในอนาคต แม้จะมีการปรับลดไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือนตุลาคม 2567 

ขณะที่ หนี้ครัวเรือนไทยปรับฤดูกาล ณ ไตรมาส 2 ปี 2567 ยังสูงถึง 89.8% ต่อ GDP โดยกว่า 28% เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ข้อมูลจากเครดิตบูโรยังระบุว่ายอดหนี้เสีย ณ เดือนกันยายน 2567 สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

การปรับอัตราดอกเบี้ยส่งผลกระทบต่อทิศทางของค่าเงินบาท หากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก เนื่องจากผู้ส่งออกจะได้รับรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าในตลาดต่างประเทศ

ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทยให้ข้อสังเกตว่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์กำลังมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะตลาดส่งออกของไทย โดยข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ไทยส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์มูลค่ากว่า 3,600 ล้านดอลลาร์สหัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ดร. นเรนทร์ ชุติจิรวงศ์ ผู้อำนวยการบริหาร Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย

สวิตเซอร์แลนด์ยังมีแนวโน้มที่จะเป็นคู่ค้าลำดับที่สองของไทยในยุโรป ขณะเดียวกันยังมีการเจรจาเกี่ยวกับความร่วมมือทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสวิตเซอร์แลนด์ในกรอบการเจรจา Free Trade Agreement ระหว่างไทยและสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ซึ่งรวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย

ทัศดา แสงมานะเจริญ เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาอาวุโส Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า นโยบายทรัมป์ 2.0 ที่เพิ่มความเสี่ยงทางการค้าโลกจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ประเทศไทยและผู้ส่งออกต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย

ทัศดา แสงมานะเจริญ เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาอาวุโส Clients & Markets ดีลอยท์ ประเทศไทย

โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเป็นมูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 17% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด และเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 18% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ดังนั้น การเพิ่มภาษีดังกล่าวจึงอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจของไทยอย่างมีนัยสำคัญ

ดีลอยท์มองว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การบริโภคจากภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักสำหรับการเติบโตของ GDP ในปี 2568  

ข้อมูลจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยควรพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้น โดยมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียรายได้มากกว่า 60,000 ล้านบาทต่อปี จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายนี้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เช่น การพัฒนามหรสพ พิพิธภัณฑ์ และดนตรีในร่ม เป็นแนวทางที่สำคัญ

นอกจากนี้ สถานที่กลางแจ้งควรมีการจัดเตรียมด้านแสงสว่างและการคมนาคมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเวลาการท่องเที่ยวให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่อากาศร้อนจัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากมุมมองด้านเศรษฐกิจแล้ว ในส่วนของด้านธุรกิจต่างๆ ดีลอยท์ สรุปความท้าทายสำคัญในปี 2568 ดังนี้

  1. ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทาน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาด้านสภาพภูมิอากาศ และการขาดแคลนทรัพยากรมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวปฏิบัติที่ยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ รวมถึงการนำเทคโนโลยีการคาดการณ์มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. แรงกดดันด้านความยั่งยืน บริษัทต่างๆ ต้องสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและข้อบังคับทางกฎหมาย ภายใต้การตรวจสอบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เพิ่มขึ้น
  3. การผสานรวม AI และการพัฒนาทักษะใหม่ของแรงงาน การนำระบบ AI ขั้นสูงมาใช้ ควบคู่กับการจัดการปัญหาด้านอคติ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และการอัตโนมัติ จำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการกำกับดูแลของมนุษย์กับนวัตกรรม การพัฒนาทางเทคโนโลยีที่รวดเร็วจำเป็นต้องมีการยกระดับทักษะแรงงานอย่างมาก ซึ่งก่อให้เกิดช่องว่างด้านความสามารถและความท้าทายในการรักษาบุคลากรในองค์กร