ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานยอดคงค้างสินเชื่อบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือนม.ค.2568 อยู่ที่ 4.76แสนล้านบาทลดลง 16,902ล้านบาทหรือหดตัว 3.4% จาก 4.93 แสนล้านบาทเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แบ่งเป็นสินเชื่อของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 2.26 แสนล้านบาท ลดลง 4.2% และสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์(นอนแบงก์ ) 2.50 แสนล้านบาทหรือหดตัว 2.6%
เมื่อพิจารณารายละเอียดพบว่า ปริมาณการใช้จ่ายรวมลดลง 4.9% (กลุ่มแบงก์หดตัว 9.3% กลุ่มนอนแบงก์หดตัว 2.9%) เบิกเงินสดล่วงหน้าปรับลดลง 2.5% (กลุ่มแบงก์หดตัว 12.6% แต่กลุ่มนอนแบงก์ขยายตัวเพิ่ม 9.3%) ปริมาณการใช้จ่ายในประเทศหดตัว 5.7%(กลุ่มแบงก์หดตัว 5.7% กลุ่มนอนแบงก์ขยายตัว 1.9%)
ด้านสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับมียอดคงค้างรวม 8.53แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,959ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 0.58%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 8.48แสนล้านบาท แบ่งเป็นยอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 4.75แสนล้านบาทลดลง 31,683 ล้านบาทหรือลดลง 6.2%จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 5.07แสนล้านบาทและที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 3.77แสนล้านบาท ขยายตัว 36,640ล้านบาทหรือคิดเป็นการขยายตัว 10.7%
เมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์มียอดคงค้างรวม 2.22แสนล้านบาทลดลง 2.62%จาก 2.28แสนล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน ประกอบด้วยสินเชื่อที่ไม่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 1.76แสนล้านบาทลดลง 4.1%จาก 1.83แสนล้านบาทช่วงเดียวกันปีที่แล้ว และที่มีทะเบียนเป็นประกัน 4.64หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,587ล้านบาทหรือคิดเป็น 3.5%
ส่วนของกลุ่มนอนแบงก์ยอดคงค้างสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 10,956 ล้านบาทหรือคิดเป็น 1.76% เป็น 6.30แสนล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 6.19แสนล้านบาท แบ่งเป็นยอดคงค้างสินเชื่อที่ไม่มีทะเบียนรถเป็นประกัน 2.99แสนล้านบาท ลดลง 24,097ล้านบาทหรือคิดเป็น 7.45% และที่มีทะเบียนรถเป็นประกันอีก 3.31 แสนล้านบาทเพิ่มขึ้น 35,054ล้านบาทหรือคิดเป็น 11.82%
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)หรือหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์รวมเครือในไตรมาส4 ปี2567 อยู่ที่ 532,100ล้านบาท ปรับลดลดจากไตรมาส3 ส่งผลให้สัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.78% หลักๆมาจากสินเชื่อธุรกิจที่มีการจัดชั้นเชิงคุณภาพ
ส่งผลให้หนี้จัดชั้นที่มีการขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม(Stage2) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.98% โดยNPLs ของสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ที่ 3.12% จาก 3.65% สินเชื่อส่วนบุคคล2.88%จาก 2.89%
ขณะที่ปัจจุบันธปท.ได้ขยายมาตรการ “การผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตโดยกำหนดให้อยู่ที่ 8%ไปจนถึงสิ้นปี 2568 (เดิมกำหนดให้การผ่อนชำระขั้นต่ำกลับสู่ปกติที่ 10% ตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.2568)
ส่วนลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับ 8% จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ย 0.5% ของยอดค้างชำระ สำหรับครึ่งปีแรก และ 0.25% สำหรับครึ่งปีหลัง ของปี 2568 โดยได้รับคืนทุก 3 เดือน เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้เร็วขึ้น รวมทั้งเปลี่ยนประเภทหนี้ของบัตรเครดิต (ที่จ่ายขั่นต่ำ 5%แต่ไม่สามารถจ่ายได้ถึง 8%) เป็นสินเชื่อระยะยาว เพื่อจ่ายชำระเป็นงวด โดยยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินบัตรเครดิตส่วนที่เหลือ
นอกจากนั้น มาตรการที่ธปท.กำหนดให้ผู้ให้บริการทางการเงินเข้าช่วยเหลือเพื่อช่วยลดภาระลูกหนี้ให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำรงชีพ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้งและหลังเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม( Responsible Lending: RL)
ขณะนี้ธปท.อยู่ระหว่างทบทวนเพื่อจะขยายมาตรการช่วยเหลือในโครงการ “คุณสู้เราช่วย” อีกระลอก หลังจากได้ขยายระยะเวลาโครงการนี้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 (จากเดิมกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 28 ก.พ. 2568)เพื่อต่อเวลาหรือเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้ภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย
อย่างไรก็ตาม จากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งแรกของปีเมื่อวันที่ 26 ก.พ.68 พบว่า การส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายไปยังธนาคารพาณิชย์นั้น มีการปรับลดอกเฉพาะดอกเบี้ยเงินกู้ ตระกูล M (ทั้ง MLR,MOR,MRR) ขณะที่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตยังคงอยู่ที่ 16%
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยศูนย์วิจัย กสิกรไทยเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในมุมของการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลหรือพีโลนกับสินเชื่อบัตรเครดิต ที่ผ่านมาธปท.ร่วมกับสถาบันการเงินผลักดันมาตรการและโครงการต่างๆออกมาในช่วงก่อนหน้า ซึ่งอาจจะไม่ได้ช่วยเหลือทุกคน แต่เน้นการช่วยเหลือแบบพุ่งเป้าเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหา เมื่อลูกหนี้เข้าโครงการและปฎิบัติได้ตามเงื่อนไข ก็จะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยที่แขวนได้ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระลูกหนี้ในส่วนนั้น
ดังนั้นหลายโครงการหลายมาตรการ รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.จะเป็นการส่งผ่านไปยังลูกหนี้แต่ละกลุ่ม แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะไม่มีผลกับลูกหนี้บางก้อน เหมือนวิ่งคนละที แต่มีปลายทางช่วยลูกหนี้ที่มีปัญหา ดังนั้นการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดในรอบเดือนก.พ.2568 จะมีทั้งที่ส่งผ่านไปถึงและไม่ถึงอย่าง สินเชื่อพีโลนกับสินเชื่อบัตรเครดิต
ทั้งนี้เพราะสินเชื่อพีโลนกับสินเชื่อบัตรเครดิต เป็นดอกเบี้ยอัตราคงที่ เช่น ถ้าเป็นบัตรเครดิตกำหนดเพดานดอกเบี้ยที่ 16%ต่อปี ลูกหนี้อาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ส่วนสินเชื่อพีโลน ถ้าเป็นสัญญาเดิมที่ผ่อนจ่ายชำระเป็นงวดหรือเป็น installment loan น่าจะคำนวณอัตราดอกเบี้ย(ตัวเดิม)ไปแล้วในวันทำสัญญา ฉะนั้นการปรับลดดอกเบี้ยเดือนก.พ.ก็อาจจะไปไม่ถึงในส่วนนี้
ประเด็นสินเชื่อพีโลน เข้าใจว่า ยังมีตัวอื่นๆ เพราะสินเชื่อพีโลนเป็นก้อนใหญ่คือ มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือคลีนโลน/สินเชื่อพีโลนภายใต้กำกับ ถ้าเป็นก้อนเดิมอาจจะไม่ชัดเจนว่า จะได้รับอานิสงส์จากการปรับลดดอกเบี้ยดังกล่าว เพราะน่าจะมีการคำนวณอัตราดอกเบี้ยไปตั้งแต่วันทำสัญญา
แต่สินเชื่อพีโลนที่ขอใหม่อาจได้อานิสงก์จากดอกเบี้ยที่ปรับลด รวมถึงสินเชื่อพีโลนที่มีหลักประกัน อย่าง Home for Cash ดอกเบี้ยจะผูกกับตระกูลM (ทั้ง MLR,MOR,MRR) เหมือนกัน ซึ่งดอกเบี้ยที่ปรับลง จึงน่าจะอานิสงส์่ต่อสินเชื่ออย่าง Home for Cash ได้
ส่วนแนวโน้มหนี้เสียนั้น ทั้งสินเชื่อพีโลนและสินเชื่อบััตรเครดิต เป็นสินเชื่อที่ธนาคารพยายามบริหารจัดการให้อยู่ในระดับที่ทรงตัว และอาจจะตัดขายไปด้วย ซึ่งเอ็นพีแอลไตรมาส4 ที่ปรับลดลงจากไตรมาส3 เข้าใจว่า มีทั้งบริหารจัดการและตัดขายปนกันอยู่และลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้แล้วอาจจะไหลกลับมาเป็น Stage2
ในแง่ของโอกาสในการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ เรามองว่า สำหรับธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อจะกลับมาเป็นบวก กรอบต่ำประมาณ 2.0% เนื่องจากฐานต่ำ จากภาพรวมสินชื่อบัตรเครดิตในระบบธนาคารพาณิชย์เมื่อสิ้นปี 2567 ติดลบประมาณ 3.5%
อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายด้านกำลังซื้อ ไม่ใช่เฉพาะสินเชื่อบัตรเครดิตและพีโลน แต่รวมสินเชื่อรายย่อย ซึ่งภาพรวมยังมองโอกาสจะติดลบ จากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นไตรมาสแรกปีนี้จะเป็นการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจนำมาก่อน แต่สินเชื่อรายย่อยยังไม่มา
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,081 วันที่ 23 - 26 มีนาคม พ.ศ. 2568