ปี 2022 จัดว่าเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนักลงทุนทั่วโลก จากหลายปัจจัยลบที่เข้ามากระทบรุนแรง ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed), ภาวะเงินเฟ้อสูง, สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์หลากหลายประเภทปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก
เมื่อมองไปข้างหน้า ‘ภาพการลงทุนในปี 2023’ อาจยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่รออยู่ แต่หากปัจจัยลบผ่านพ้นไปและแรงกดดันเริ่มบรรเทาเบาบางลง เราเชื่อว่า ทิศทางการลงทุนโดยรวมจะมีแนวโน้มเป็นบวกและโอกาสของโลกการลงทุนน่าจะเปิดกว้างมากขึ้น
แม้ว่าในปี 2023 ภาพการฟื้นตัวของตลาดหุ้นโลกอาจจะยังไม่ชัดเจนนัก จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่น่าจะถูกเหนี่ยวรั้งด้วยความกังวลต่อความเสี่ยงของภาวะถดถอย(Recession) ของประเทศเศรษฐกิจใหญ่ของโลก คือ สหรัฐฯ และยุโรป ด้วยแรงกดดันจากวิกฤติพลังงานในยุโรป, ภาวะเงินเฟ้อสูงกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค, กิจกรรมการผลิตที่ชะลอตัวลงสะท้อนจากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)
และการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวเร็วและแรงที่สุดในรอบ 40 ปีของ Fed ผ่านการขึ้นดอกเบี้ยและการดึงสภาพคล่องออกจากระบบ (Quantitative Tightening หรือ QT) ผลักดันให้ต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจปรับตัวขึ้น การชะลอตัว/ถดถอยทางเศรษฐกิจมหภาค ย่อมส่งผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องมาสู่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ทำให้นักวิเคราะห์ในตลาดมีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรลงเช่นกัน
แต่ในเชิงสถิติ ช่วงเกิด Recession ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในอดีต พบว่า ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ มักถูกปรับลงมาเฉลี่ยราว 10-15% และในรอบปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี 2022 นี่จึงเป็นปัจจัยที่เราประเมินว่า ยังมีโอกาสสร้างความเสี่ยงขาลง (Downside risk) ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้การฟื้นตัวไม่น่าจะยั่งยืนและต่อเนื่อง
ดังนั้น ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 การวางกลยุทธ์การลงทุนจึงยังคงต้องเน้นความระมัดระวัง ในอีกมุมมองหนึ่งของการลงทุน เรามองว่า ตราสารหนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพสูง (Investment Grade) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหรือ Bond Yield ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง
ยกตัวอย่างในช่วงกลางเดือน ธ.ค. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี อยู่ที่ราว 3.5% ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ในขณะที่ Fed เริ่มชะลออัตราเร่งของการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้แรงกดดันต่อตราสารหนี้ มีแนวโน้มลดลงในระยะถัดไป นอกจากนี้ ความเสี่ยงของการเกิดเศรษฐกิจถดถอยจะเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ขับเคลื่อนกระแสเงินทุนให้ไหลเข้าตราสารหนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนโดยรวม
สำหรับด้านการลงทุนหุ้น กลุ่ม Defensive อย่างเช่น กลุ่มการแพทย์-สุขภาพ (Health Care) และกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค จะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจ เนื่องจากมีความทนทานต่อความไม่แน่นอนจากปัจจัยเชิงมหภาค ผลประกอบการไม่ได้ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก ทองคำ สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เช่นกัน
หากมองยาวข้ามไปถึงครึ่งหลังของปี 2023 เราประเมินว่า บรรยากาศการลงทุนน่าจะมีแนวโน้มเป็นบวกมากขึ้น เมื่อความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนได้สะท้อนเข้าไปในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว แรงกดดันจากการใช้นโยบายตึงตัวทางการเงินของ Fed น่าจะเริ่มคลายตัว แม้ Fed น่าจะยังไม่ลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2024 แต่น่าจะเห็นการชะลอหรือหยุดขึ้นดอกเบี้ย (Fed pause)
ส่วนฝั่งเอเชีย คาดว่า การคลายนโยบาย Zero COVID ของจีน จะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากภาครัฐเริ่มทยอยปรับเกณฑ์ควบคุมตั้งแต่ปลายปี 2022 การกลับมาเปิดเมืองของจีนจะช่วยหนุนการบริโภคและการเดินทางท่องเที่ยว รวมถึง ช่วยบรรเทาปัญหาห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักหรือ Supply Chain Disruption
สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2023 เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนหุ้นมากขึ้น เช่น