ซื้อหุ้นในจุดต่ำที่สุด และขายหุ้นในจุดที่สูงที่สุด เชื่อว่านักลงทุนเคยมีความคิดนี้ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน การขายหุ้นในจุดสูงที่สุดนั้นเป็นไปได้ยากมาก ส่วนการซื้อหุ้นในจุดต่ำที่สุดนั้นพอเป็นไปได้ วันนี้ผมจะแชร์วิธีการหาจุดต่ำสุดของราคาหุ้นให้ฟังกันครับ
ผมใช้องค์ความรู้ 3 อย่าง คือ
มาเริ่มจากข้อแรก ใน Elliott wave คลื่นที่เกิดจุดต่ำสุดในรอบคือ คลื่น C คลื่น 2 และคลื่น 4 คลื่นที่ดูง่ายที่สุดคือคลื่น C เพราะเป็นการลงแบบ Panic sell ราคาลงแรงไหลเร็วจึงดูง่าย เมื่อจบคลื่น C แล้วจะเป็นจุดเริ่มต้นของขาขึ้นแต่มีความเสี่ยงสูงเพราะแนวโน้มหลักเป็นขาลงเต็มตัว ส่วนคลื่นที่ 4 เป็นจุดต่ำของรอบที่อยู่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับคลื่น C และคลื่น 2 ข้อดีคือแนวโน้มหลักเป็นขานแล้ว แต่ข้อเสียคือ upside เหลือค่อนข้างน้อย
คลื่นที่ผมจะแนะนำคือคลื่นที่ 2 เป็นคลื่นที่ปลอดภัยเพราะมีการหยุดความร้อนแรงของขาลงมาแล้วในการเด้งทำคลื่นที่ 1 ก่อนจะย่อลงมาทำคลื่นที่ 2 และยังมี upside ค่อนข้างมาก ผมจึงชอบที่จะหาจุดเข้าที่ต่ำสุดในคลื่นที่ 2
ถัดมา ปัญหาในการนับหาขาทั้งหมดของคลื่น 2 นั้นค่อนข้างยาก ต้องอาศัยประสบการณ์พอสมควร เพราะการเคลื่อนตัวในคลื่น 2 มีลักษณะที่ซับซ้อน มีรูปแบบการเคลื่อนตัวเยอะที่สุดในบรรดาคลื่นของ Elliott wave แต่ถ้าเราไม่ต้องการหารูปแบบทั้งหมด เพราะเราไม่ได้เน้นนับ wave เพื่อหาความสมบูรณ์ เราเพียงแค่ต้องการหาจุดต่ำสุด และมีโอกาสถูกต้องสูงที่สุด
ดังนั้นผมมีทริกง่ายๆ สำหรับมือใหม่ คือเราแค่ต้องหาการจบคลื่นในรูปแบบสุดท้าย คือลงครบ 5 ขา ตัวช่วยง่ายๆ คือการหาการเกิด Bullish divergence ใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น ในที่นี้ผมมักจะใช้ Bullish divergence ในระดับ Timeframe รายสัปดาห์ เพื่อหาจุดกลับตัวที่อยู่ต่ำสุดของคลื่น 2 ใน Timeframe รายวัน
เมื่อทำแบบนี้เราจะสามารถลดรูปแบบที่ซับซ้อนต่างๆที่อยู่ในคลื่น 2 ลงไปได้ จึงทำให้การทำงานในส่วนนี้น้อยลง แต่เราจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนการทำการบ้านของตัวหุ้นให้มากขึ้น เพราะการกลับตัวที่เกิด Bullish divergence ใน Timeframe ใหญ่ หรือการจบคลื่นในรูปแบบสุดท้าย ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
ถัดมาผมใช้ตัวเลขของ Fibonacci retracement เพื่อหาการย่อตัวที่มีนัยยะ จุดที่มีนัยยะหลังจากการเกิด Bullish divergence ใน Timeframe ใหญ่ มักจะลงมาถึงบริเวณ 61.8% , 78.6%
และเรื่องสุดท้ายที่ผมเอามาช่วยอ้างอิงจุดคาดการณ์ว่าจะเป็นจุดต่ำสุด คือปริมาณวอลุ่ม ทุกๆ จุดที่เกิดการกลับตัวขึ้นหรือลง มักจะมีปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าปกติ หรือเกิดการพีคของวอลุ่ม เมื่อเทียบกับวอลุ่มในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน
เมื่อทั้ง 3 ส่วนนี้มาบรรจบกัน มักจะเกิดอารมณ์ของความสิ้นหวัง ทั้งข่าวสารเชิงลบ และสภาพบรรยากาศมวลรวมในตลาดที่ไม่สู้ดี ณ.จุดๆ นั้น เป็นจุดที่ควรให้ความสำคัญ มักจะเป็นจุดต่ำสุดของราคา
ในการวาง Money Management เทคนิคส่วนตัวผมจะใช้การวางเงินไม้เดียว จะไม่มีการแบ่งไม้ หรือไม่มีการถั่วเฉลี่ยซื้อหุ้น และสิ่งสำคัญเมื่อเราคิดจะซื้อหุ้นในจุดต่ำที่สุดคือต้องมีวินัยในการ Stop loss อย่างสูง เพราะเมื่อเราจะเสี่ยงซื้อที่จุดต่ำสุด แปลว่าราคาหุ้นนั้นยังอยู่ในแนวโน้มของขาลง มีความเสี่ยงที่จะเกิดการไหลลงแรงๆของราคา จะทำให้เกิดการเสียหายอย่างมากกับ Portfolio ของเราได้
และสุดท้ายการที่เราได้หุ้นมาในราคาที่ต่ำที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำกำไรได้สูงที่สุดในระยะเวลาอันสั้น ราคาอาจจะย่ำอยู่บริเวณที่เราซื้อเป็นเวลานานก็เป็นได้ เพราะคลื่น 2 ของ Elliott wave เป็นคลื่นของการ Sideway ปรับฐาน เมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นที่ยืนยันการขึ้นของคลื่น 3 ที่ต้นทุนของจุด Breakout อาจจะอยู่สูงกว่าต้นทุนจุดต่ำสุดของคลื่น 2 แต่ถ้าเทียบในระยะเวลาที่เท่ากัน คลื่น 3 อาจจะทำกำไรได้มากกว่าก็เป็นได้