เป็นที่รู้กันดีว่า ปี 2022 มีปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่เกิดขึ้นและทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกและตลาดลงทุนเกิดความผันผวนตลอดปีและกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ มากมาย ทั้งสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย ที่สร้างความปั่นป่วนกับราคาน้ำมัน
จนลามไปกระทบห่วงโซ่สินค้าอุปโภคบริโภค และลากยาวไปถึงราคาต้นทุนสินค้าของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่มีการปรับตัวขึ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อ ทำให้ภาครัฐของแต่ละประเทศต้องเร่งปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อยังยั้งภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรง
ที่ผ่านมาภาครัฐในแต่ละประเทศต่างความพยายามเร่งปรับนโยบายเพื่อให้ประเทศสามารถทนทานต่อความท้าทายต่างๆ มาโดยตลอด
แต่ก็เพิ่งเริ่มเห็นผลของความพยายามนั้นเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่อย่างน้อยก็ส่งผลในแง่ความรู้สึกของผู้คนให้คลายความกังวลลงไปมากต่อสถานการณ์ Covid-19 ปัจจัยเงินเฟ้อและภาวะความถดถอยของเศรษฐกิจ (ดังจะเห็นได้จากข้อมูลของ Google Trend) เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีถึงกลางปีที่ผ่านมา
สำหรับ ‘สินทรัพย์ดิจิทัล’ ที่เคยให้ผลตอบแทนสูงมากในปี 2021 ก็ประสบภาวะถูกเทขายอย่างรุนแรงในปี 2022 ไม่ว่าจะเป็นการพังทลายของเหรียญ LUNA ไปจนถึงการล่มสลายของตลาดเทรดคริปโตระดับโลก FTX
ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่สร้างความเสียหายขนาดใหญ่ให้กับนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เริ่มต้นต้องกลับมาตั้งคำถามถึงราคาที่เหมาะสมของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคตที่อาจจะยังมาไม่ถึง
ทำให้หลายคนต้องหันกลับมามองสินทรัพย์คลาสสิก อย่างเช่น ‘กลุ่มหุ้นทุน’ ที่ถึงแม้ว่าผลตอบแทนจะไม่ได้หวือหวาเทียบเท่าสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ก็ยังพอจะประเมินและคำนวณความสมเหตุสมผลของราคาด้วยหลักการทางทฤษฎีอยู่ได้บ้าง
เมื่อได้ทบทวนผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีที่ผ่านมาโดยแยกตามสไตล์ของนักลงทุนแต่ละประเภท พบว่านักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นโดยเน้นจากหุ้นคุณภาพ (ในที่ราคาเหมาะสม) และ/หรือ เน้นหุ้นปันผลสูง จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนดีได้เกือบทุกตลาดทั่ว
จึงอยากฝากเป็น ‘ข้อคิด’ ที่นักลงทุนและสามารถเตรียมตัวรับกับสถานการณ์การลงทุน และพิจารณาว่า สำหรับการเลือกลงทุนไปกับหุ้นสำหรับปี 2023 นี้ว่า ควรจะเป็นอย่างไร หากสถานการณ์ยังคงมีปัจจัยผันผวนสูง
ทั้งด้านสงครามยูเครน-รัสเซีย ที่ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าจะจบลงเมื่อไร ความไม่แน่นอนด้านการเมืองกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง หรือแม้แต่กระทั่งสถานการณ์ของ Covid-19 ที่ยังอาจจะกลับมาระบาดด้วยเชื้อกลายพันธุ์แบบใหม่
แต่ทั้งหมดนี้เอง ก็สามารถเรียนรู้มาจากปีก่อนหน้าแล้วว่า สุดท้ายในภาวะความไม่แน่นอนสูง การเลือกหุ้นโดยเน้นหุ้นคุณภาพที่มีเงินปันผลสูงที่ราคาเหมาะสมน่าจะยังให้ผลตอบแทนที่ดีและปลอดภัยได้ตามสมควร
และหากสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีจนธนาคารกลางทั่วโลกยอมชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจจะทำให้หุ้นขนาดเล็ก-ขนาดกลางและหุ้นกลุ่มเติบโตกลับมาให้ผลตอบแทนที่นำตลาดได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องคอยจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป