การลงทุนคือการรอคอย รอจังหวะ Low Risk, High Return

29 ก.ค. 2566 | 02:30 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ก.ค. 2566 | 02:30 น.

การลงทุนคือการรอคอย : คอลัมน์ Investing Tactic โดย ณัช เรือนเพ็ชร์ (โค้ชณัช) ผู้ชนะการแข่งขัน TFEX Algorithmic Trading Workshop & Competition 2017 และ วิทยากรพิเศษโครงการ SITUP

ประโยคหนึ่งที่นักลงทุนมักได้ยินอยู่เสมอคือ High Risk, High Return ซึ่งหมายความว่า การได้มาซึ่งผลตอบแทนที่สูงต้องแลกมากับความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูง แต่แท้จริงแล้ว มืออาชีพทุกคนล้วนแต่มองหาจังหวะ Low Risk, High Return ทั้งสิ้น 

ความเสี่ยงต่ำหรือเสี่ยงสูงนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้อยู่ที่ตัวหุ้น แต่อยู่ที่ความรู้ความเข้าใจของเราเองต่างหาก นักปีนเขาที่ใช้มือเปล่าปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงชัน เราอาจจะมองว่า เป็นการกระทำที่เสี่ยง แต่สำหรับคนที่ฟิตร่างกายมาอย่างดีและปีนเขามาแล้ว 5 ปี สำหรับเขาคงไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย

ในตลาดหุ้นเองก็เช่นกัน เมื่อเราเทรดไปสักพัก เราจะเริ่มเข้าใจว่า หน้าเทรดประมาณนี้ สถานการณ์ประมาณนี้จะได้ผลตอบแทนดีๆในความเสี่ยงต่ำแน่นอน แต่โอกาสเหล่านี้มักจะมาไม่บ่อย ฉะนั้นสิ่งที่นักลงทุนควรทำคือ หาโอกาสแบบนี้ตลอดเวลา โดยการวิเคราะห์หุ้นอย่างสม่ำเสมอและที่สำคัญไปกว่านั้นคือการรอคอยจนกว่าโอกาสดีๆจะมาถึง

การลงทุนคือการรอคอย รอจังหวะ Low Risk, High Return

คนเรามักจะให้ค่าความสุขในปัจจุบันมากกว่าความสุขในอนาคต เช่น อยากรวยวันนี้มากกว่าอดทนแล้วรวยในอีก 5 ปีข้างหน้า ทำให้ช่วงที่ทรัพย์สินใดทรัพย์สินหนึ่งทำ New High มักมีคนเฮโลกันไปซื้อแบบไม่สนความถูกแพง เพราะจังหวะที่ทรัพย์สินนั้นเป็นเทรนขาขึ้นมักจะอยู่ในจังหวะที่ราคาขึ้นทุกวัน กำไรทุกวัน ทำให้นักลงทุนชะล่าใจลืมมองความเสี่ยงและผลสุดท้ายก็ขาดทุนหนักในตอนจบ

ในขณะเดียวกันตอนวิกฤต COVID-19 ที่ตลาดหุ้นลงแรงทุกวัน ตอนนั้นหันไปทางไหนก็มีแต่คนกลัวและ cut loss กันหมด แต่ถ้าเราทำการบ้านมาดีแล้วว่า หุ้นบางตัวไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยหรือหุ้นบางตัวก็อาจจะได้รับผลประโยชน์ด้วยซ้ำ เช่น หุ้นขายอุปกรณ์ IT การลงทุนในจังหวะนี้ก็จะทำให้ได้ซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมากๆ แต่การจะมีความกล้าซื้อจังหวะนี้ได้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะมองออกหรือไม่ว่านี้คือจังหวะเสี่ยงต่ำ 

แต่ความยากของตลาดหุ้นคือในหลายครั้งหุ้นที่เสี่ยงสูง (ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้ดีมากแต่ราคาแพงมาก) ราคาก็ขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ทำให้เราที่รอคอยจังหวะเสี่ยงต่ำรู้สึกว่าตัวเองตกรถ และถ้าเราทนความรู้สึกตกรถไม่ได้สุดท้ายเราก็จะยอมกลืนหลักการของตัวเองและซื้อหุ้นในจังหวะยอดดอย 

ฉะนั้นแล้วการยึดมั่นในหลักการเป็นสิ่งที่สำคัญ มักจะมีคนมาถามผมว่า “หุ้นตัวนี้ที่คนนั้นมาบอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมันขึ้นมาเยอะแล้ว ไม่เสียดายเหรอที่ไม่ได้ซื้อ” ผมมักจะตอบสั้นๆว่า “ไม่เสียดายครับ” ผมก็จะไม่ซื้อเลย ตกรถก็ช่างมัน (ผมไม่ได้รอรถคันนี้) เพราะ การลงทุนคือการรอคอย หุ้นที่เป็นจังหวะของผม “จังหวะ Low Risk, High Return” 

หน้า 14  หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,909 วันที่ 30 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2566