2023 นับเป็นปีทองของตลาดหุ้นอินเดีย เมื่อดัชนี Nifty 50 ทำระดับสูงสุดใหม่ ซึ่งปรับตัวขึ้นมาราว 19% (YTD ถึงวันที่ 15 ธ.ค.2023) และในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นจีน ไม่สามารถฟื้นตัวได้ตามที่นักลงทุนคาดหวัง ทำให้ตลาดหุ้นอินเดีย ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักเป็นลำดับต้น ๆ ในฝั่งตลาดเกิดใหม่ (ดัชนี MSCI Emerging Market) ยิ่งดูเด่น และได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น
เห็นได้จากกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นอินเดียประมาณ 1.8 หมื่นล้านเหรียญฯ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 14 ธ.ค.2023
S&P Global Market Intelligence เชื่อว่า อินเดียจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วสุดในโลก ในช่วง 10 ปีข้างหน้า คาด Nominal GDP ของอินเดียจะขึ้นไปแตะระดับ 7.3 ล้านล้านเหรียญฯ ภายในปี 2030 ซึ่งมีโอกาสแซงหน้าประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น ญี่ปุ่น และเยอรมัน ในช่วงเวลานั้น
อีกทั้ง ปัจจัยสนับสนุนการเติบโต อย่างเช่น โครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนชนชั้นกลางเป็นจำนวนมากและเติบโตอย่างรวดเร็ว ช่วยขับเคลื่อนการบริโภคภาคเอกชน และ Digital Transformation ที่กำลังเกิดขึ้นจะเป็นตัวช่วยเร่งการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม e-Commerce ช่วยดึงดูดบริษัทข้ามชาติให้เข้ามาสู่ตลาดค้าปลีกของอินเดีย โดย S&P คาดว่า ภายในปี 2030 การเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของประชากรอินเดียจะเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 500 ล้านคนในปี 2020 เป็น 1.1 พันล้านคน
นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอินเดียในช่วง 4-5 ปีหลังสุด โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทั้งกลุ่ม Hardware และ Software เป็นกลุ่มหลักที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติเข้ามา โดย FDI ของอินเดีย ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ราว 8.5 หมื่นล้านเหรียญฯ ในปีงบประมาณ 2022 จากที่เคยทำได้เพียงแค่ 4 พันล้านเหรียญฯ เมื่อปีงบประมาณ 2004
โมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดีย ถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่งในปีนี้ กล่าวคือ GDP ของอินเดีย ช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.2023 ขยายตัว 7.6% YoY สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 6.8% YoY หนุนจากภาคการผลิตและการใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้ล่าสุด ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ปรับเพิ่มประมาณการ GDP Growth สำหรับปีงบประมาณ 2024 (สิ้นสุดเดือน มี.ค.2024) จากเดิม 6.5% เป็น 7.0%
ด้านนโยบายการเงิน การประชุมธนาคารกลางอินเดียเมื่อเดือน ธ.ค. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบาย (Repo Rate) ที่ 6.5% นับเป็นการคงดอกเบี้ยต่อเนื่อง 5 การประชุมแล้ว แต่การส่งสัญญาณยังค่อนข้างตึงตัว (Hawkish) และไม่น่าจะรีบปรับลดดอกเบี้ย เพราะว่าอัตราเงินเฟ้อ แม้จะชะลอตัวลงมาแล้ว แต่ก็ยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 4% ประกอบกับ เศรษฐกิจยังสามารถเติบโตได้แข็งแกร่ง ทำให้ความจำเป็นที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน ยังมีไม่มากนักในช่วงเวลานี้
ตลาดหุ้นอินเดีย มักถูกมองว่า มี Valuation ที่ค่อนข้างแพง เพราะดัชนี Nifty 50 ซื้อขายด้วย 12-month Forward P/E ratio ราว 19.6x เทียบกับของ MSCI EM ที่ราว 11.7x และหากพิจารณา P/E Band พบว่า ตลาดหุ้นอินเดียในปัจจุบัน ซื้อขายที่ค่าเฉลี่ย 10 ปี+1SD แม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แต่ก็ลดความตึงตัวลงมาเมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2021 ที่เคยขึ้นไปสูงถึง +2SD เรามองว่า Valuation ที่นักลงทุนให้กับตลาดหุ้นอินเดีย แบบมีพรีเมียมเมื่อเทียบกับภูมิภาค เพราะนักลงทุนให้น้ำหนักกับการเติบโตทั้งเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก
ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในปี 2024 คือ การเลือกตั้งทั่วไปของอินเดีย ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือน เม.ย.- พ.ค.2024 โดย คุณ Modi นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจากพรรค BJP มีโอกาสจะได้ดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย ซึ่งตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อ Scenario ดังกล่าว เพราะคาดหวังที่จะเห็นความต่อเนื่องด้านนโยบาย และเป็นที่น่าสังเกตว่า ในการเลือกตั้ง 5 ครั้งหลังสุด ได้แก่ ปี 1999, 2004, 2009, 2014 และ 2019 สถิติจาก Bloomberg บ่งชี้ว่า ดัชนี Nifty 50 ของอินเดีย มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ยราว 16% ในช่วง 6 เดือนก่อนการเลือกตั้ง
เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นอินเดีย ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19 และการประเมินมูลค่า (Valuation) ในเชิง P/E Ratio อยู่เหนือระดับค่าเฉลี่ยระยะยาว สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความคาดหวังที่สูงต่อการเติบโตในอนาคต ซึ่งอาจทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอินเดีย มีความผันผวนสูงขึ้นในระยะข้างหน้า และอาจเห็นแรงขายทำกำไรเข้ามาในบางช่วงเวลา
ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ต้องอาศัยการจับจังหวะที่มากขึ้น โดยมีปัจจัยติดตามหรือปัจจัยเสี่ยง เช่น ราคาพลังงาน-เชื้อเพลิง ที่ปรับตัวขึ้น จะส่งผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของอินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้า หรือ Sentiment การลงทุนมีโอกาสผันผวน หากผลการเลือกตั้งในปี 2024 ไม่ได้ออกมาตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เป็นต้น
แวะกลับมาดูที่บ้านไทยเราสักเล็กน้อย ปีนี้อาจจะไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับตลาดหุ้นไทย เพราะ SET Index ปรับตัวลงค่อนข้างแรงราว 16% สวนทางกับทิศทางตลาดหุ้นหลายแห่งที่ฟื้นตัวกันได้ในปีนี้ พร้อมกับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติกว่า 1.9 แสนล้านบาท สะท้อนการปรับลดประมาณการทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปี 2023
แต่หากมองไปในปีหน้า SCBAM เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นจากทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดย SCB EIC จัดทำประมาณการ GDP ของไทยปี 2024 เติบโตราว 3.0% YoY เร่งตัวขึ้นจากปี 2023 ที่คาดว่าจะโตราว 2.6% YoY หนุนด้วยการส่งออกที่ฟื้นตัวจากแนวโน้มการค้าโลกที่ขยายตัวสูงขึ้น และการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนตามแนวโน้มยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนและนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐ
สุดท้ายนี้ บลจ. ไทยพาณิชย์ ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดี และประสบความสำเร็จกับการลงทุน พร้อมกับสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดทั้งปี 2024